MrtRecycling.co.th
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556
หน่วยความจำ (Memory Unit) กับ ความเจริญทีไม่มีสิ้นสุด
ในช่วงปัจจุบันนี้ ความเจริญก้าวหน้าเรื่องไอทีก็ก้าวไปไกลแบบใครๆ อาจจะตามไม่ทันแล้วนั้น ในส่วนของการเก็บข้อมูลก็เช่นเดียวจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยที่ก้าวไปในยุคไอที ครองโลก ซึ่งเราจะมาทำความรู้จักในเรื่องเกี่ยวกับหน่วยเป็บข้อมูล หรือ เมโมรี ยูนิต ว่ามีกี่แบบ และ อันไหน อยู่ประเภาอะไร เพื่อจะได้ทราบว่าวิวัฒนาการการเก็บข้อมูล เริ่มต้นจากอะไรบ้างหน่วยจัดเก็บข้อมูลที่ทำงานได้รวดเร็วที่สุด สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก ซึ่งสามารถจำแนกตามลักษณะการใช้งานได้ 2 ประเภท คือ
1. หน่วยความจำหลัก (Main Memory) หรือเรียกว่า หน่วยความจำภายใน (Internal Memory) สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
* รอม (Read Only Memory - ROM) เป็นหน่วยความจำที่มีโปรแกรมหรือข้อมูลอยู่แล้วสามารถเรียกออกมาใช้งานได้แต่จะไม่สามารถเขียนเพิ่มเติมได้และแม้ว่าจะไม่มีกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงให้แก่ระบบข้อมูลก็ไม่สูญหายไป ซึ่งแบ่งข้อย่อยๆ ในประเภทนี้ได้ดังต่อไปนี้
* แรม (Random Access Memory) เป็นหน่วยความจำที่สามารถเก็บข้อมูลได้เมื่อมีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเท่านั้น เมื่อใดไม่มีกระแสไฟฟ้ามาเลี้ยงข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำชนิดนี้จะหายไปทันที
2. หน่วยความจำรอง (Second Memory) หรือหน่วยความจำภายนอก (External Memory) เป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยสื่อบันทึกข้อมูลและอุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลชนิดต่างๆ ได้แก่
- ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) เป็นฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งโปรแกรมใช้งานต่างๆ ไฟล์เอกสาร รวมทั้งเป็นที่เก็บระบบปฏิบัติการที่เป็นโปรแกรมควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย
- ฟล็อบปี้ดิสก์ (Floppy Disk) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่มีขนาด 3.5 นิ้ว มีลักษณะเป็นแผ่นกลมบางทำจากไมลาร์ (Mylar) สามารถบรรจุข้อมูลได้เพียง 1.44 เมกะไบต์ เท่านั้น ซึ่งในรูปแบบนี้ ได้ยกเลิกใช้ไปแล้ว
- ซีดี (Compact Disk - CD) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลแบบดิจิทัล เป็นสื่อที่มีขนาดความจุสูง เหมาะสำหรับบันทึกข้อมูลแบบมัลติมีเดีย ซีดีรอมทำมาจากแผ่นพลาสติกกลมบางที่เคลือบด้วยสารโพลีคาร์บอเนต (Poly Carbonate) ทำให้ผิวหน้าเป็นมันสะท้อนแสง โดยมีการบันทึกข้อมูลเป็นสายเดียว (Single Track) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 120 มิลลิเมตร ปัจจุบันมีซีดีอยู่หลายประเภท ได้แก่
* ซีดีเพลง (Audio CD)
* วีซีดี (Video CD - VCD)
* ซีดี-อาร์ (CD Recordable - CD-R)
* ซีดี-อาร์ดับบลิว (CD-Rewritable - CD-RW)
* ดีวีดี (Digital Video Disk - DVD)
- รีมูฟเอเบิลไดร์ฟ (Removable Drive) เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีตัวขับเคลื่อน (Drive) สามารถพกพาไปไหนได้โดยต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย Port USB ปัจจุบันความจุของรีมูฟเอเบิลไดร์ฟมีตั้งแต่ 2-32 กิกะไบต์ ทั้งนี้ยังมีไดร์ฟลักษณะเดียวกัน เรียกในชื่ออื่นๆ ได้แก่ Pen Drive , Thump Drive , Flash Drive เป็นต้น
- ซิบไดร์ฟ (Zip Drive) เป็นสื่อบันทึกข้อมูลที่จะมาแทนแผ่นฟล็อปปี้ดิสก์ มีขนาดความจุ 100 เมกะไบต์ ซึ่งการใช้งานซิปไดร์ฟจะต้องใช้งานกับซิปดิสก์ (Zip Disk) ความสามารถในการเก็บข้อมูลของซิปดิสก์จะเก็บข้อมูลได้มากกว่าฟล็อปปี้ดิสก์ ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นมากนัก
- Magnetic optical Disk Drive เป็นสื่อเก็บข้อมูลขนาด 3.5 นิ้ว ซึ่งมีขนาดพอๆ กับฟล็อบปี้ดิสก์ แต่ขนาดความจุมากกว่า เพราะว่า MO Disk drive 1 แผ่นสามารถบันทึกขัอมูลได้ตั้งแต่ 128 เมกะไบต์ จนถึงระดับ 5.2 กิกะไบต์
- เทปแบ็คอัพ (Tape Backup) เป็นอุปกรณ์สำหรับการสำรองข้อมูล ซึ่งเหมาะกับการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่มากๆ ขนาดระดับ 10-100 กิกะไบต์
- แผ่นเมโมรีการ์ด (Memory Card) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่มีขนาดเล็ก พัฒนาขึ้น เพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์เทคโนโลยีแบบต่างๆ เช่น กล้องดิจิทัล คอมพิวเตอร์มือถือ (Personal Data Assistant - PDA) โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
โดยสรุปแล้ว อีกไม่นาน ตัวเก็บข้อมูลจำพวก ดิสก์ ทั้งหลาย อาจจะไม่มีบทบาทในการใช้งานบ้างแล้ว เนื่องจาก ระบบการเก็บข้อมูล เริ่มมีความกะทัดรัดและเล็กลงไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีการพัฒนามาอีกหรือไม่ ตอนนี้มีทางเดียวที่มีก็คือ เตรียมความพร้อมอยู่เสมอ เพราะ วันพรุ่งนี้ สิ่งที่คุณใช้ในการเก็บข้อมูลมา อาจจจะไม่มีราคาแล้วก็เป็นได้
รายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถดูได้ที่เพจนี้ หรือ ในบล็อกเกอร์ของ เอ็มอาร์ที รีไซคลิง ได้นะครับ คลิกที่ http://mrtrecycle.blogspot.com/หรือเว็บไซต์ของเรา ที่ http://www.mrtrecycling.co.th/ และ เพจบน facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556
หากละเลยการเอาใจใส่เรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จะเกิดอะไรขึ้น ??
การจัดการที่ไม่เหมาะสมจะก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม กล่าวคือ ในกระบวนการผลิตแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์นั้น จะมีสารอันตรายร่วมอยู่ด้วย หากมีการทิ้งหรือปลดปล่อยขยะอิเล็กทรอนิกส์ออกไปสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก จะก่อให้เกิดการปนเปื้อนของสารพิษในสิ่งแวดล้อม และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ ปัญหาที่เกิดจากการทิ้งโดยไม่ถูกวิธี เช่น การทิ้งในบริเวณรกร้างว่างเปล่า การทิ้งใกล้แหล่งน้ำ และ การเผาทำลาย ล้วนก่อให้เกิดการปลดปล่อยสารพิษที่เป็นองค์ประกอบของขยะอิเล็กทรอนิกส์ออกมาสู่สิ่งแวดล้อมทั้งในน้ำ ดิน และ อากาศ กันทั้งสิ้น
การให้ความรู้ถึงองค์ประกอบของขยะอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับโลหะมีค่าจึงทำให้เกิดการรีไซเคิล แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนการรีไซเคิลและการกำจัดคือ การลงทุนเพื่อสร้างระบบการรีไซเคิลที่สูง จึงเกิดวิธีการแยกโลหะแบบง่ายโดยใช้การเผาแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำลายพลาสติกและแยกโลหะมีค่าออกมา ส่งผลให้มีการปลดปล่อยสารโลหะหนักๆ ที่เป็นอันตรายหลายชนิดออกมา โดยเฉพาะสารตะกั่ว ที่เป็นส่วนประกอบหลักในการบัดกรีแผ่นวงจรพิมพ์ มีฤทธิ์ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ระบบโลหิต การทำงานของไต การสืบพันธุ์ และ มีผลต่อการพัฒนาสมองของเด็ก ต่อมาก็เป็นจำพวกสารหนู ที่ใช้ในแผงวงจร ซึ่งสามารถทำลายระบบประสาท ผิวหนังและระบบการย่อยอาหาร หากได้รับสัมผัสในปริมาณมากอาจทำให้ถึงตายได้ การปลดปล่อยออกมาในรูปของก๊าซพิษนั้น สามารถออกมาในรูปของสารประกอบคลอรีน เมื่อไม่มีระบบการป้องกันอย่างถูกวิธี เช่น การไม่สวมหน้ากาก ไม่มีระบบลดก๊าซพิษ ก็จะทำให้เกิดการรับสัมผัสสารเหล่านี้เข้าไปสะสมในร่างกาย จนมีอาการผิดปกติ และ เกิดโรคมะเร็งได้
ทีนี้รู้หรือยังว่า หากไม่ใส่ใจเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หวังว่าจะกลับมาทบทวนให้ถี่ถ้วนมากขึ้นนะครับ
รายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถดูได้ที่เพจนี้ หรือ ในบล็อกเกอร์ของ เอ็มอาร์ที รีไซคลิง ได้นะครับ คลิกที่ http://mrtrecycle.blogspot.com/หรือ เว็บไซต์ของเรา ที่ http://www.mrtrecycling.co.th/ และ เพจบน facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle
ทีนี้รู้หรือยังว่า หากไม่ใส่ใจเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หวังว่าจะกลับมาทบทวนให้ถี่ถ้วนมากขึ้นนะครับ
รายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถดูได้ที่เพจนี้ หรือ ในบล็อกเกอร์ของ เอ็มอาร์ที รีไซคลิง ได้นะครับ คลิกที่ http://mrtrecycle.blogspot.com/หรือ เว็บไซต์ของเรา ที่ http://www.mrtrecycling.co.th/ และ เพจบน facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle
สถานการณ์การรีไซเคิลซากแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย และ ต่างประเทศ
ผลจากการถอดชิ้นส่วนด้วยมือออกไปจะทำให้ความคุ้มค่าในการรีไซเคิลลดลงไปด้วย จากนั้นชิ้นส่วนที่เหลือจะถูกส่งต่อไปแยกประเภท คัดเกรด บดย่อย แล้วคัดแยกด้วยแม่เหล็กและกระแสไหลวนเพื่อแยกเหล็กและอะลูมิเนียมออกไป ส่วนที่เป็นโลหะมีค่าในแผ่นวงจรจะถูกส่งต่อไปยังโรงงานถลุงเพื่อรีไซเคิลส่วนประกอบที่เป็นโลหะต่อไป สำหรับโลหะไม่มีค่าทั้งหมดที่อยู่ในซากแผ่นวงจรจะถูกส่งไปยังหลุมฝังกลบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
รายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถดูได้ที่เพจนี้ หรือ ในบล็อกเกอร์ของ เอ็มอาร์ที รีไซคลิง ได้นะครับ คลิกที่ http://mrtrecycle.blogspot.com/หรือ เว็บไซต์ของเรา ที่ http://www.mrtrecycling.co.th/ และ เพจบน facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle
การแยกเกรดของตัวแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์
โดยทั่วไปแผ่นวงจรพิมพ์ที่ถูกแยกออกจากอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่หมดอายุการใช้งานแล้ว จะถูกนําไปแยกชิ้นส่วนที่มีค่าออกก่อนจะนําไปรีไซเคิลโดยทั่วไปซากแผ่นวงจรพิมพ์จะถูกคัดเกรดออกเป็น 3 ประเภท ตามปริมาณโลหะมีค่าที่อยู่ในชิ้นส่วนนั้น โดยแบ่งเป็น H (เกรดสูง) M (เกรดกลาง) และ L (เกรดต่ํา) เช่นซากที่อยู่ในเกรดต่ําจะมีปริมาณโลหะในกลุ่มแพลทินัม (platinum group metals: PGMs) ที่น้อยมาก แต่อาจจะเปลี่ยนเกรดจากเกรดต่ํามาอยู่ในเกรดกลางได้โดยการเลือกถอดชิ้นส่วนด้วยมือสําหรับส่วนประกอบที่มีเหล็กเฟอร์รัสและอะลูมีเนียมในค่าเปอร์เซ็นต์ที่สูง ซึ่งจะแยกเกรดได้ดังต่อไปนี้
1- ซากเกรดต่ํา ประกอบด้วยแผงโทรทัศน์และหน่วยจ่ายไฟ (power supply units) ที่มีหม้อแปลงเฟอร์ไรต์ (ferrite transformer) และส่วนประกอบของแผ่นระบายความร้อน (heat sink) ที่มีอะลูมิเนียมขนาดใหญ่ ทั้งนี้เศษลามิเนต ที่ถูกตัดออกก็จัดว่าเป็นวัสดุเกรดต่ํา เช่นกัน
2- ซากเกรดกลาง ซึ่งจะมาจากอุปกรณ์ที่มีความแม่นยํา (reliability) สูง ที่มีโลหะมีค่าจาก pin และ edge connector และมีวัสดุที่ทําหน้าเก็บประจุ เช่น ตัวเก็บประจุชนิดอะลูมิเนียม ฯลฯ
3- ซากเกรดสูง ประกอบไปด้วย องค์ประกอบที่แยกเป็นชิ้น เช่น วงจรรวมที่มีทองคํา เครื่องออปโตอิเล็กทรอนิกส์ (optoelectronics) แผงวงจรที่มีโลหะมีค่าปริมาณมาก (gold pin board, palladium pin board) และ ชุดระบายความร้อนจากเมนเฟรม เป็นต้น
หากต้องการอ่านเรื่องอื่นๆ ในบล็อกสามารถดูได้ในนี้นะครับ หรือ ในเพจทาง FACEBOOK ของ MRT RECYCLING ได้เลยนะครับผม
หากต้องการอ่านเรื่องอื่นๆ ในบล็อกสามารถดูได้ในนี้นะครับ หรือ ในเพจทาง FACEBOOK ของ MRT RECYCLING ได้เลยนะครับผม
การรีไซเคิลแผ่งวงจร พีซีบี หรือ ซากแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์
แผ่นวงจรพิมพ์ (printed circuit board: PCB) หรือนิยมเรียกว่า แผ่นปรินต์ เป็นแผ่นที่มีลายทองแดงนำไฟฟ้าอยู่ ใช้สำาหรับต่อวางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อประกอบเป็นวงจรแทนการต่อวงจรด้วยสายไฟซึ่งมีความซับซ้อนและยุ่งยาก อีกทั้งยังสามารถจัดวางอุปกรณ์ได้อย่างเป็นระเบียบและลดขนาดพื้นที่ของการจัดเรียงอุปกรณ์ลงได้ ลดความวุ่นวายจากการโยงสายไฟที่ซับซ้อน โดยทั่วไปแผ่นวงจรพิมพ์จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ
1) แผ่นฐานหรือซับสเตรท (substrate) ทำจากฉนวนบางๆ ยึดรวมกันด้วยสารประเภทเทอร์โมเซ็ตติง มีหน้าที่รองรับการเชื่อมต่อตัวอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วยตัวนำไฟฟ้า
2) สารตัวนำ ที่ใช้เชื่อมต่อเป็นลายวงจร ในยุคแรกนั้นใช้หมึกเป็นตัวนำาพิมพ์ลงไปในแผ่นฐานซึ่งเป็นที่มาของคำว่า วงจรพิมพ์ แต่ปัจจุบันนิยมใช้แผ่นทองแดงบางๆ ยึดเข้ากับผิวหน้าของแผ่นฐานด้วยกาว เรียกว่า metal clad laminate ส่วนวัสดุแผ่นฐานที่นิยมใช้กัน ได้แก่ กระดาษชุบฟีนอลิกอัด อิพอกซีไฟเบอร์กลาส เป็นต้น
แผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์มีด้วยกันหลายประเภทได้แก่
1.single-sided boards เป็นชนิดที่มีลายทองแดงหน้าเดียว ประกอบไปด้วยแผ่นฐานและชั้นของแผ่นตัวนำเพียงด้านเดียว นิยมใช้กันทั่วไป ซึ่งจำนวนอุปกรณ์ที่จะวางลงบนแผ่นวงจร จะมีความหนาแน่นของจำนวนไม่มากนัก
2. double-sided boards เป็นชนิดที่มีลายตัวนำทองแดงสองด้าน ได้แก่ ด้านบนและด้านล่าง โดยมีชั้นแผ่นฐานอยู่ตรงกลาง วัสดุที่นิยมนำมาใช้ทำแผ่นฐาน คือ อิพอกซีไฟเบอร์กลาส แผ่นวงจรลักษณะนี้เหมาะสำหรับงานที่มีความหนาแน่นของจำนวนอุปกรณ์ในวงจรมาก หรือเป็นวงจรที่มีความถี่ปานกลางถึงความถี่สูง อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อลายทองแดงด้านบนและล่าง แบบ plat through hole หรือ PTH เพื่อให้เส้นทั้งสองเชื่อมต่อกันได้สั้นลงด้วย
3. multi-layer boards เป็นแผ่นวงจรชนิดหลายชั้น ประกอบไปด้วยชั้นของแผ่นตัวนำาและซับสเตรท (ส่วนมากจะใช้อิพอกซีไฟเบอร์กลาส) มากกว่าสองชั้นขึ้นไป (ประมาณ 3-50 ชั้น) โดยทำการอัดชั้นต่างๆ เข้าหากันด้วยความร้อนและใช้เครื่องอัดแรงดันสูง เหมาะสำหรับงานที่มีความหนาแน่นของจำนวนอุปกรณ์สูงถึงสูงมาก เช่น คอมพิวเตอร์
4. flexible circuit เป็นแผ่นวงจรพิมพ์ชนิดอ่อน ถูกสร้างขึ้นจาก laminating copper foil และ flexible
substrate เช่น Kevlar หรือ Kapton มีตั้งแต่ชนิดแผ่นชั้นเดียวและหลายชั้น มีขนาดบางและน้ำหนักเบา เหมาะใช้กับงานที่แผ่นวงจรพิมพ์ทั่วไปไม่สามารถติดตั้งได้ เพราะถูกกำจัดด้วยพื้นที่ในการติดตั้งหรือการใช้งานจะต้องมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างงานที่ใช้วงจรพิมพ์ชนิดนี้ ได้แก่ กล้องถ่ายรูป เครื่องพิมพ์ ฮาร์ดดิสก์ และ เครื่องบันทึกวีดีโอ ที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เป็นต้น
ส่วนในตอนต่อไปจะพูดถึงการแยกเกรดของตัวแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ คอยติดตามให้ดีละครับ
ส่วนรายละเอียดในเรื่องอื่นๆ สามารถติดตามได้ใน บล็อกนี้ นะครับ
วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556
มุมมองการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ใน ต่างประเทศ ตอนจบ
ในตอนนี้ จะพูดถึงการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ในกลุ่มประเทศที่ว่าจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ในอนาคต ซึ่งจะเบนมาที่ทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่าง ทวีปเอเชีย ซึ่งจะมีประชากรในการใช้งานอิเล็กทรอนิกส์พอสมควร ซึ่งประกอบไปด้วย ประเทศมหาอำนาจทางเทคโนโลยี ทุกคนต้องนึกถึง ญี่ปุ่น อยู่แล้ว รองลงมาก็คือ ชาติที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาของแดนอาทิตย์อุทัย นั่นก็คือ เกาหลีใต้ และ จีน ที่ต้องการเอาชนะ ญี่ปุ่น ในทุกๆ อย่าง มาดูกันว่า ประเทศเหล่านี้ จัดการกับเหล่าขยะอิเล็กทรอนิกส์ กันอย่างไรบ้าง และมีนโยบายไหนที่สอดคล้องกันบ้าง
เริ่มต้นที่ ประเทศจีน มีประกาศใช้ระเบียบการควบคุมมลพิษจากผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเริ่มบังคับใช้เมื่อ 1 มีนาคม ปี 2007 มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมและลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีกระทรวงสารสนเทศอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักและเป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินงานและบัญญัติข้อบังคับต่างๆ เกี่ยวกับการจัดการซากอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่รณรงค์ให้ภาคอุตสาหกรรมระบุเกี่ยวกับการควบคุมสารต้องห้าม และ ช่วงเวลาปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ลงบนสินค้าต่างๆ ซึ่งเป็นข้อบังคับให้มีการติดฉลากแจ้งข้อมูลต่างๆ ของสินค้า ซึ่งมีผลครอบคลุมตั้งแต่การผลิตสินค้าไปจนถึงการจำหน่าย และยังรวมถึงการนำเข้าสินค้าในกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์สู่ตลาดภายในแดนมังกรด้วย แต่ไม่ได้มีผลบังคับกับการผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออกแต่อย่างใด
เริ่มต้นที่ ประเทศจีน มีประกาศใช้ระเบียบการควบคุมมลพิษจากผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเริ่มบังคับใช้เมื่อ 1 มีนาคม ปี 2007 มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมและลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีกระทรวงสารสนเทศอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักและเป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินงานและบัญญัติข้อบังคับต่างๆ เกี่ยวกับการจัดการซากอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่รณรงค์ให้ภาคอุตสาหกรรมระบุเกี่ยวกับการควบคุมสารต้องห้าม และ ช่วงเวลาปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ลงบนสินค้าต่างๆ ซึ่งเป็นข้อบังคับให้มีการติดฉลากแจ้งข้อมูลต่างๆ ของสินค้า ซึ่งมีผลครอบคลุมตั้งแต่การผลิตสินค้าไปจนถึงการจำหน่าย และยังรวมถึงการนำเข้าสินค้าในกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์สู่ตลาดภายในแดนมังกรด้วย แต่ไม่ได้มีผลบังคับกับการผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออกแต่อย่างใด
ประเทศเกาหลีใต้ มีนโยบายในการจัดการของเสียโดยยึดหลักนโยบาย 3R มาตั้งแต่ ปี 1993 โดยประกาศนโยบายการลดของเสียจากบรรจุภัณฑ์และนโยบาย Material and Workmanship Improvement System ซึ่งเกี่ยวกับการปรับปรุงวัสดุของผลิตภัณฑ์ในการผลิตของอุตสาหกรรมรถยนต์และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ และ ในปี 2003 ได้มีนโยบาย Extended Producer Responsibility (EPR) System โดยผู้ผลิตต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์ของตน ซึ่งในปัจจุบันได้มีการครอบคลุมผลิตภัณฑ์แล้ว 17 รายการ และในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2006 ได้ประกาศร่างนโยบายเรื่องการรีไซเคิลทรัพยากรในผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ และได้มีการประกาศใช้เมื่อ 2 เมษายน ปี 2007 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม ปี 2008 เป็นต้นไป
ประเทศญี่ปุ่นมีการจัดการโดยการดำเนินการโดยยึดหลักแนวคิด 3Rs และหลักการ Extended Producer Responsibility (EPR) โดยได้มีการร่างกฎหมายหลักซึ่งเป็นกรอบของกฎหมายสำาหรับการจัดการขยะและการส่งเสริมการนำกลับมาใช้ใหม่คือ “Fundamental Law for Establishing a Sound Material-Cycle Society” เพื่อเป็นการสนับสนุนให้สังคมมีการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ อีกทั้งยังเป็นการลด ในการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติและลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นการกำหนดกรอบโครงสร้างหลัก การจัดลำดับความสำคัญ และ ระบุหน้าที่ความรับผิดชอบของรัฐบาลกลางองค์กรส่วนท้องถิ่น ภาคธุรกิจ และผู้บริโภค และมีความมุ่งหมายให้มีการรีไซเคิลซากผลิตภัณฑ์ และ ยังมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับแนวทางในการจัดการซากอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ คือ แนวปฏิบัติในการจัดการของเสียและการรีไซเคิลซากอุปกรณ์ การติดฉลากรักษ์สิ่งแวดล้อมบนผลิตภัณฑ์ และแนวคิดการออกแบบผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ประเทศญี่ปุ่นมีการจัดการโดยการดำเนินการโดยยึดหลักแนวคิด 3Rs และหลักการ Extended Producer Responsibility (EPR) โดยได้มีการร่างกฎหมายหลักซึ่งเป็นกรอบของกฎหมายสำาหรับการจัดการขยะและการส่งเสริมการนำกลับมาใช้ใหม่คือ “Fundamental Law for Establishing a Sound Material-Cycle Society” เพื่อเป็นการสนับสนุนให้สังคมมีการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ อีกทั้งยังเป็นการลด ในการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติและลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นการกำหนดกรอบโครงสร้างหลัก การจัดลำดับความสำคัญ และ ระบุหน้าที่ความรับผิดชอบของรัฐบาลกลางองค์กรส่วนท้องถิ่น ภาคธุรกิจ และผู้บริโภค และมีความมุ่งหมายให้มีการรีไซเคิลซากผลิตภัณฑ์ และ ยังมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับแนวทางในการจัดการซากอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ คือ แนวปฏิบัติในการจัดการของเสียและการรีไซเคิลซากอุปกรณ์ การติดฉลากรักษ์สิ่งแวดล้อมบนผลิตภัณฑ์ และแนวคิดการออกแบบผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โดยสรุปแล้ว ประเทศต่างๆ ก็มีนโยบายในการจัดการเรื่องขยะอิเล็กทรอนิกส์กัน แตกต่างกันออก ไป อย่างไรก็ตามทุกประเทศก็มีเป้าหมายเดียวกันก็คือ ทำอย่างไรให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งประเทศสารขันธ์อย่างเราๆ ก็น่าจะมองเค้าแล้ว ย้อนดูตัวเราได้นะครับ
รายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถดูได้ที่เพจนี้ หรือ ในบล็อกเกอร์ของ เอ็มอาร์ที รีไซคลิง ได้นะครับ คลิกที่ http://mrtrecycle.blogspot.com/หรือ เว็บไซต์ของเรา ที่ http://www.mrtrecycling.co.th/ และ เพจบน facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle
วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556
มุมมองการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ใน ต่างประเทศ ตอนที่ 1
มุมมองการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ใน
ต่างประเทศ ตอนที่ 1
ในตอนนี้จะมาพูดถึงการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ของ ประเทศที่ว่ากันว่า จ้าวแห่งวิศวกรรม อีกทั้งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของยุโรปอันดับต้นๆ อย่าง เยอรมัน และ ประเทศเกิดใหม่ ซึ่งมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ในภูมิภาคยุโรปตะวันออก อย่าง โปแลนด์
ประเทศเยอรมนี ได้รวมเอาระเบียบทั้งสองฉบับ คือ WEEE และระเบียบว่าด้วยการจำกัดการใช้สารที่เป็นอันตรายบางประเภทในผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Restriction of Hazardous Substances: RoHS) ใส่ไว้ในกฎหมายของประเทศ คือ “Act Governing the Sale, Return and Environmentally Sound Disposal of Electrical and Electronic Equipment” หรือ เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ The ElektroG โดยต้องการให้บริษัทที่ขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีหน้าที่รับผิดชอบเรียกคืนซากผลิตภัณฑ์ ทำการรีไซเคิลและกำจัดซากผลิตภัณฑ์ และได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ปี 2005
ประเทศโปแลนด์มีการนำเอาระเบียบ WEEE และ RoHS มาปรับใช้กับกฎหมายของประเทศ โดยระเบียบ RoHS นำมาปรับใช้กับกฎหมายการห้ามใช้สารอันตรายในเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ปี 2004 และ มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 2006 ในส่วนระเบียบ WEEE ได้นำามาปรับใช้กับพระราชบัญญัติการจัดการซากเศษเหลือทิ้งของเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (WEEE Act) และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 20 ตุลาคม ปี 2005 โดยหน่วยงาน Ministry of Environmental Protection (MEP) หรือ กระทรวงการปกป้องและรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ตรวจสอบทั่วไปเพื่อการป้องกันสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานบริหารส่วนกลางก็มีหน้าที่ต้องนำกฎหมายไปใช้ในการประสานงานทั่วไป ตลอดจนการติดตามตรวจสอบการเรียกคืน และ บำบัดเศษซากเหลือทิ้ง
ตอนต่อไปจะเอ่ยถึงการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ของเหล่าประเทศมหาอำนาจแห่งทวีปเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และ จีน ว่า พวกเขาทำอย่างไร และ มีนโยบาย อะไร มารองรับ บ้างครับผม
ต่างประเทศ ตอนที่ 1
ในตอนนี้จะมาพูดถึงการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ของ ประเทศที่ว่ากันว่า จ้าวแห่งวิศวกรรม อีกทั้งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของยุโรปอันดับต้นๆ อย่าง เยอรมัน และ ประเทศเกิดใหม่ ซึ่งมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ในภูมิภาคยุโรปตะวันออก อย่าง โปแลนด์
ประเทศเยอรมนี ได้รวมเอาระเบียบทั้งสองฉบับ คือ WEEE และระเบียบว่าด้วยการจำกัดการใช้สารที่เป็นอันตรายบางประเภทในผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Restriction of Hazardous Substances: RoHS) ใส่ไว้ในกฎหมายของประเทศ คือ “Act Governing the Sale, Return and Environmentally Sound Disposal of Electrical and Electronic Equipment” หรือ เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ The ElektroG โดยต้องการให้บริษัทที่ขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีหน้าที่รับผิดชอบเรียกคืนซากผลิตภัณฑ์ ทำการรีไซเคิลและกำจัดซากผลิตภัณฑ์ และได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ปี 2005
ประเทศโปแลนด์มีการนำเอาระเบียบ WEEE และ RoHS มาปรับใช้กับกฎหมายของประเทศ โดยระเบียบ RoHS นำมาปรับใช้กับกฎหมายการห้ามใช้สารอันตรายในเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ปี 2004 และ มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 2006 ในส่วนระเบียบ WEEE ได้นำามาปรับใช้กับพระราชบัญญัติการจัดการซากเศษเหลือทิ้งของเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (WEEE Act) และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 20 ตุลาคม ปี 2005 โดยหน่วยงาน Ministry of Environmental Protection (MEP) หรือ กระทรวงการปกป้องและรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ตรวจสอบทั่วไปเพื่อการป้องกันสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานบริหารส่วนกลางก็มีหน้าที่ต้องนำกฎหมายไปใช้ในการประสานงานทั่วไป ตลอดจนการติดตามตรวจสอบการเรียกคืน และ บำบัดเศษซากเหลือทิ้ง
ตอนต่อไปจะเอ่ยถึงการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ของเหล่าประเทศมหาอำนาจแห่งทวีปเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และ จีน ว่า พวกเขาทำอย่างไร และ มีนโยบาย อะไร มารองรับ บ้างครับผม
รายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถดูได้ที่เพจนี้ หรือ ในบล็อกเกอร์ของ เอ็มอาร์ที รีไซคลิง ได้นะครับ คลิกที่ http://mrtrecycle.blogspot.com/ และ เว็บไซต์ของเรา ที่ http://www.mrtrecycling.co.th/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)