ในสถานการณ์ปัจจุบันมีการใช้แบตเตอรี่ก้อนขนาดเล็กมากกว่าก้อนใหญ่ถึง 10 เท่า บนโลกนี้จึง ประกอบไปด้วยโลหะเป็นพิษจากแบตเตอรี่ที่หมดอายุซึ่งถูกสร้างเพิ่มขึ้นและใช้กันอยู่ในแต่ละปี
ขณะที่แบตเตอรี่ที่ใช้กันในภาคอุตสาหกรรมกับแบตเตอรี่รถยนต์เท่านั้นที่ได้มีการรีไซเคิลนําเอาวัสดุกลับมาใช้ใหม่ (วัสดุดังกล่าวคือโลหะตะกั่ว, นิเกิล, แคดเมียม, สังกะสี, เงิน, แมงกานีส, สารละลายอิเล็กโตรไลต์และตัวถังพลาสติก ฯลฯ)
ส่วนแบตเตอรีขนาดเล็กจะถูกทิ้งให้เป็นของเสียที่เป็นอันตรายและไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ มักจะนำไปฝังกลบ ซึ่งอาจจะใกล้แหล่งน้ำ ทำให้สารพิษ จำพวก นิเกิล แคดเมียม หรือ ปรอท ไหลออกจากแบตเตอรี ที่เกิดจากการกระแทกหรือแตกหักของตัวถัง รวมทั้งหากนำไปเผาในเตาเผาขยะตามหน่วยงานระดับเทศบาลต่างๆ ก่อให้เกิดควันและฝุ่นละอองโลหะ ฟุ้งกระจายเป็นวงกว้าง
ในต่างประเทศนั้นได้ มีกฎข้อบังคับในเมืองใหญ่ ว่า ห้ามนำแบตเตอรี่ใช้แล้วไปเผาเข้าเตาเผาขยะชุมชน และ ห้ามนําไปฝังกลบเหมือนขยะทั่วไป แต่จะให้มีการนํามาผ่านกระบวนการรีไซเคิลเสียก่อน หรือ จะกําจัดได้โดยการฝังกลบอย่างปลอดภัยสําหรับของเสียที่มีพิษโดยเฉพาะ ซึ่งในประเทศไทยนั้น การนําแบตเตอรี่ดังกล่าวมารีไซเคิลใหม่ ยังทําได้น้อย เนื่องจากแบตเตอรี่ที่นํามารีไซเคิลจะเป็นแบตเตอรี่จากรถยนต์ เป็นส่วนใหญ่
การรีไซเคิลแบตเตอรี ซึ่งส่วนมากจะเป็นแบตเตอรีรถยนต์ มักจะเป็นชนิดกรด-ตะกั่ว ซึ่งส่วนประกอบสามารถรีไซเคิลได้ถึง 97 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการรีไซเคิลแบตเตอรี่เก่าเข้าสู่กระบวนการผลิตแบตเตอรี่ใหม่ได้เกือบทั้งหมด การรีไซเคิลแบตเตอรี่ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก คือ
1. ทําการแยกหรือทําให้แบตเตอรี่แตกเป็นชิ้น ๆ
2. ชิ้นส่วนแบตเตอรี่จากข้อ 1 ถูกนําไปแยกส่วนที่เป็นพลาสติก (โพลีโพรพีลีน) ออกจากส่วนที่เป็นสารละลายและตะกั่วและโลหะหนักอื่น ๆ แต่ละส่วนจะส่งต่อเข้ากระบวนต่อไป
3. สําหรับชิ้นส่วนที่เป็นพลาสติก จะนําไปล้าง ทําให้แห้ง แล้วส่งต่อไปโรงรีไซเคิลพลาสติกเพื่อหลอมเป็นพลาสติกใหม่
4. แผงตะกั่วจะนําไปหลอมเป็นตะกั่วแท่ง มีการกําจัดสิ่งเจือปนทิ้ง (dross)
5. กรดซัลฟุริก จัดการได้ 2 ลักษณะคือ
1) ทําให้เป็นกลางแล้วทิ้ง หรือ 2) ทําให็เป็นโซเดียมซัลเฟต
หากต้องการอ่านสาระน่ารู้อื่นๆ สามารถคลิกได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle
วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ขยะอิเล็กทรอนิกส์ มันไม่ใช่ของๆ ใคร แต่มันเป็นปัญหาของทุกคน
"ขยะอิเล็กทรอนิกส์" เป็นขยะที่ไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แบตเตอรี่ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ซึ่งนับวันจะเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ อุปกรณ์เครื่องเสียงบ่อยครั้งกว่าที่เคยเป็น จนขณะนี้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกมีมากถึง 20-50 ล้านตัน ซึ่งหากนำขยะทั้งหมดใส่ตู้คอนเทนเนอร์ขบวนรถไฟ จะกลายเป็นขบวนรถไฟที่ยาวเท่าหนึ่งรอบโลกทีเดียว
โดยในประเทศไทย แหล่งกำเนิดขยะอิเล็กทรอนิกส์ จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1.โรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะพบเป็นเศษจากขยะเหลือทิ้งที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตสินค้า และผลิตภัณฑ์ที่ผ่านสายการผลิตที่ออกมาแล้วไม่ได้เกณฑ์มาตรฐาน
2.บ้านเรือนหรือตามบริษัท ห้างร้านต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นขยะที่เกิดขึ้นจากการใช้งานผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าจนหมดอายุ หรือเครื่องเสียจนไม่สามารถซ่อมให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม
ผลการสำรวจของกรมควบคุมมลพิษพบว่า ในปี 2550 ของเสียอันตรายในชุมชนมีปริมาณทั้งสิ้น 400,716 ตัน แบ่งเป็นของเสียอันตรายทั่วไป 131,871 ตัน และขยะอิเล็กทรอนิกส์ 308,845 ตัน หากเทียบกับปี 2555 ประมาณว่าของเสียอันตรายในชุมชนเกิดขึ้นทั้งสิ้น 513,631 ตัน แบ่งเป็นของเสียอันตรายทั่วไปจากชุมชน 153,917 ตัน และขยะอิเล็กทรอนิกส์ 359,714 ตัน คาดว่าในปี 2559 จะมีของเสียอันตรายในชุมชนเกิดขึ้นทั้งสิ้น 573,463 ตัน แบ่งเป็นของเสียอันตรายทั่วไปจากชุมชน 172,076 ตัน และขยะอิเล็กทรอนิกส์ 401,387 ตัน ซึ่งปริมาณอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงร้อยละ 12 ต่อปี ซึ่งถือว่ามีอัตราการเพิ่มขึ้นในระดับที่ค่อนข้างสูงมาก
อย่างไรก็ตาม จากการที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ออกมาประกาศใช้สัญญาณทีวีดิจิตอล ซึ่งหากประเทศไทยเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีการออกอากาศโทรทัศน์จากระบบอนาล็อกไปสู่ระบบทีวีดิจิตอล จะมีทีวี 20 ล้านเครื่องถูกทิ้ง และกลายเป็นขยะอันตราย ซึ่งความเป็นจริงแล้วการเปลี่ยนถ่ายสู่ระบบดิจิตอลนั้น ประชาชนไม่จำเป็นต้องซื้อโทรทัศน์ใหม่ทั้งหมด เพราะวิธีการรับชมระบบดิจิตอลไม่จำเป็นต้องซื้อทีวีดิจิตอล แต่สามารถใช้ระบบกล่องหรือเสาอากาศ หรือระบบอื่นๆ ที่ต้องมีการพัฒนา ในส่วนกรุงเทพมหานครมีขยะอันตรายที่จัดเก็บถึง 1.40 ตันต่อวัน รวมถึงซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ถึงแม้ปัจจุบันยังไม่มีระบบรองรับการจัดการซากผลิตภัณฑ์เป็นการเฉพาะ แต่กรุงเทพมหานครได้สร้างระบบรองรับการแยกทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์จากบ้านเรือนประชาชน โดยจ้างบริษัทเอกชน คือ บริษัท อัคคีปราการ จำกัด ที่ได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นผู้กำจัดอย่างถูกวิธีเช่นเดียวกับการกำจัดมูลฝอยอันตรายจากชุมชน แต่เนื่องจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ กล้องดิจิตอล แบตเตอรี่กล้องดิจิตอล โน้ตบุ๊ก และแบตเตอรี่ โน๊ตบุ๊ก มีส่วนประกอบที่เป็นทรัพยากรที่มีมูลค่าเช่น โลหะมีค่า สามารถนำไปขายเพื่อแยกสกัดโลหะมีค่านำกลับมาใช้ประโยชน์
ประกอบกับผลการสำรวจข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มครัวเรือนในการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อไม่ใช้งานแล้วของกรมควบคุมมลพิษเมื่อปี 2555 ระบุว่า ผู้บริโภคกลุ่มครัวเรือนจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์โดยการขายร้อยละ 51.27 เก็บไว้ร้อยละ 25.32 ทิ้งรวมกับขยะทั่วไปร้อยละ 15.60 และให้ผู้อื่นร้อยละ 7.84 จึงอาจเป็นสาเหตุให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ไม่เข้าสู่ระบบการจัดการของกรุงเทพมหานครเท่าที่ควร
ดังนั้น กรุงเทพมหานครเพียงหน่วยงานเดียวย่อมไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จ องค์กรภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมบูรณาการทั้งในส่วนนโยบายและในการนำนโยบายไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด ที่สำคัญประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ด้วยการคัดแยกขยะเหล่านี้อย่างถูกต้อง รวมไปถึงการมีจิตสำนึกในการใช้งานเทคโนโลยีอย่างคุ้มค่าที่สุด เพื่อลดภาระและมลพิษจากสิ่งเหล่านี้ อย่างรอบคอบ
ประกอบกับผลการสำรวจข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มครัวเรือนในการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อไม่ใช้งานแล้วของกรมควบคุมมลพิษเมื่อปี 2555 ระบุว่า ผู้บริโภคกลุ่มครัวเรือนจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์โดยการขายร้อยละ 51.27 เก็บไว้ร้อยละ 25.32 ทิ้งรวมกับขยะทั่วไปร้อยละ 15.60 และให้ผู้อื่นร้อยละ 7.84 จึงอาจเป็นสาเหตุให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ไม่เข้าสู่ระบบการจัดการของกรุงเทพมหานครเท่าที่ควร
ดังนั้น กรุงเทพมหานครเพียงหน่วยงานเดียวย่อมไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จ องค์กรภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมบูรณาการทั้งในส่วนนโยบายและในการนำนโยบายไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด ที่สำคัญประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ด้วยการคัดแยกขยะเหล่านี้อย่างถูกต้อง รวมไปถึงการมีจิตสำนึกในการใช้งานเทคโนโลยีอย่างคุ้มค่าที่สุด เพื่อลดภาระและมลพิษจากสิ่งเหล่านี้ อย่างรอบคอบ
ที่มานสพ.มติชน 25 ก.พ. 2556
หากต้องการอ่านสาระน่ารู้อื่นๆ คลิกได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle
วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
Ultrabook โน้ตบุ๊กประหยัดพลังงานเพื่อสำนักงาน
ในฐานะ ผู้บริหาร ผู้จัดการ หรือ พนักงานที่ต้องเดินทางไปประชุม หรือ ออกไซต์งานนอกอยู่บ่อยๆ โดยทั่วไปคงทราบดีว่าคอมพิวเตอร์แบบพกพาอย่างโน้ตบุ๊ก (Notebook) เป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะมีไว้ใช้ในงานเฉพาะด้านแล้ว เรายังต้องพึ่งพาความสามารถของโน้ตบุ๊กในการทำงานด้านเอกสาร รวมไปถึงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อติดต่อสื่อสารกับโลกออนไลน์ที่นับวันจะมีความสำคัญต่อการทำธุรกิจมากขึ้นทุกที
แม้โน้ตบุ๊กจะให้ความสะดวกสบายในการใช้งาน ทั้งขนาดตัวเครื่องยังพอที่จะพกพาไปไหนต่อไหนได้ แต่สำหรับผู้ใช้งานหลายๆ ท่านแล้วโน้ตบุ๊กก็ยังคงมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากอยู่ดี สำคัญที่สุดก็คือดูเหมือนว่าแบตเตอรี่ที่ทำหน้าที่ประจุพลังงานไฟฟ้าสำหรับป้อนให้กับตัวเครื่องนั้นเริ่มจะไม่เพียงพอต่อการใช้งานจริงเอาเสียแล้ว โน้ตบุ๊กบางตัวเปิดใช้แค่หนึ่งหรือสองชั่วโมงก็ต้องรีบหาที่เสียบปลั๊กกันให้วุ่น ถ้าหาได้ทันก็รอดตัวไป แต่ถ้าหาไม่ทันก็คงต้องพับเก็บกันไปตามระเบียบ
ตอนปลายของยุคโน้ตบุ๊กเฟื่องฟู แท็บเล็ต (Tablet) ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น แน่นอนก็เพื่อมาตอบโจทย์ข้อด้อยของโน้ตบุ๊กทั้งในแง่ของน้ำหนักที่เบากว่า พกพาไปไหนมาไหนง่ายและหยิบออกมาใช้งานก็สะดวก อีกทั้งแท็บเล็ตยังประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้ดีกว่าโน้ตบุ๊กมาก โดยทั่วไปสามารถเปิดใช้งานได้นานกว่า 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว ถูกใจผู้ใช้ทั้งขาเล็กขาใหญ่ไปตามๆ กัน
แท็บเล็ตได้นำความสะดวกสบายมาให้ผู้ใช้อย่างมาก แถมยังเป็นที่นิยมสุดๆ จนถึงปัจจุบัน ทว่ากับผู้ใช้บางกลุ่มโดยเฉพาะกับผู้ใช้ในบริษัท องค์กรหรือหน่วยงาน แท็บเล็ตเองก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์ได้ครบถ้วนเท่าใดนัก เนื่องจากสเป็คด้านฮาร์ดแวร์ที่ไม่ค่อยสูงมากทำให้แท็บเล็ตใช้งานกับซอฟท์แวร์ที่สำคัญๆ บางตัวได้ค่อนข้างช้า หรืออาจจะใช้งานไม่ได้เลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซอฟต์แวร์พื้นฐานที่ต้องใช้งานในสำนักงานหรืองานเฉพาะด้าน
อัลตร้าบุ๊ก (Ultrabook) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ของโน้ตบุ๊ก ที่ดึงเอาลักษณะเด่นจากทั้งโน้ตบุ๊กและแท็บเล็ต คือ มีน้ำหนักเบา สเปคฮาร์ดแวร์เทียบเทียบเท่าโน้ตบุ๊ก และบางเกือบเท่าแท็บเล็ต หรือนัยหนึ่งก็คือ อัลตร้าบุ๊กมาแทรกเข้าตรงกลางระหว่างโน้ตบุ๊กกับแท็บเล็ตพอดิบพอดี อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้ บริษัท อินเทล คอร์เปอเรชั่น ประเทศสหรัฐอเมริกา (Intel Corporation)ที่คิดค้นและพัฒนาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการคอมพิวเตอร์พกพา ตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้โน้ตบุ๊กทั่วโลก ด้วยคอนเซ็ปต์ทีว่า “บาง เบา พกพาสะดวก ใช้พลังงานต่ำและประสิทธิภาพดีเยี่ยม”
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์แบรนด์ชั้นนำของโลกหลายเจ้าหันมาผลิตอัลตร้าบุ๊กกันมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อผู้บริโภคในแง่ของราคา เรียกได้ว่าคุ้มค่าในราคาที่เหมาะสม ทั้งนี้ อัลตร้าบุ๊กไม่ได้มีคุณสมบัติเพียงบาง เบา พกพาสะดวก ใช้พลังงานต่ำ และประสิทธิภาพดีเยี่ยมเท่านั้น แต่สำหรับผู้ใช้งานบางกลุ่มที่ชื่นชอบความหรูหราดูมีสไตล์ อัลตร้าบุ๊กก็ยังตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดีและหากผู้บริหารหรือผู้จัดการท่านใดกำลังมองหาโน้ตบุ๊กที่เหมาะสมและโดดเด่นคู่ควรกับตำแหน่งอยู่ละก็ ไม่ควรมองข้าม Ultrabook ด้วยประการทั้งปวง
โดยคุณสมบัติเด่นๆ ของ อุลตร้าบุ๊ก
หากต้องการรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม คลิกดูได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle
โดยคุณสมบัติเด่นๆ ของ อุลตร้าบุ๊ก
1. อัลตร้าบุ๊ก มีความบางของตัวเครื่องรวมจอแค่18 มิลลิเมตร สำหรับรุ่นที่มีขนาดจอกว้าง13.3 นิ้ว, ขนาด 21 มิลลิเมตร สำหรับจอ 14 นิ้ว และขนาด 23 มิลลิเมตร สำหรับ Convertible Tablet (อัลตร้าบุ๊กที่หมุนหน้าจอหรือพับเก็บหน้าจอทับไว้บนคีย์บอร์ดได้)
2. อัลตร้าบุ๊ก สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานอย่างน้อย 5 ชั่วโมง เรียกว่าแทบจะไม่จำเป็นต้องพกอแดปเตอร์สำหรับชาร์จติดตัวไปด้วยเลย
3. เปิด-ปิดเครื่องได้รวดเร็วมากๆ โดยเฉพาะในการเปิดเครื่องจากสภาวะ Sleep Mode ซึ่งใช้เวลาเพียง 1-2 วินาทีเท่านั้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การบูทเข้าสู่โปรแกรมระบบปฏิบัติการสามารถทำได้อย่างรวดเร็วนั้นก็เนื่องมาจากฮาร์ดดิสก์ที่ใช้ในอัลตร้าบุ๊กเป็นแบบ SSD (Solid State Drive) นอกจากนี้ ฮาร์ดดิสก์แบบ SSD ยังมีความเร็วในการจัดเก็บข้อมูลมากกว่าฮาร์ดดิสก์แบบเดิมมาก ทั้งทนทาน ทำงานเงียบ และสร้างความร้อนน้อยกว่า
หากต้องการรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม คลิกดูได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle
ขั้นตอนการล้างเครื่องปรับอากาศ โดยไม่ต้องง้อช่าง
ในการตรวจเช็คเครื่องปรับอากาศปัจจุบัน มลภาวะทางอากาศเช่น ฝุ่นละออง ควันพิษ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพมหานคร หรือ มหานครใหญ่ๆ ทั่วโลก แน่นอน มลภาวะเหล่านี้ ไม่เป็นผลดีทั้งต่อมนุษย์ และเครื่องใช้ โดยเฉพาะ เครื่องปรับอากาศ ที่ทุกบ้านใช้กันอยู่ หลายๆ สาเหตุของแอร์ เกิดจาก เพียงแค่แอร์สกปรก หรือ แอร์ตัน จากการสะสมของฝุ่นละออง เท่านั้น ซึ่งเป็นเพียงแค่ปัญหาเล็กๆ แต่ถ้าปล่อยไว้นาน ปัญหาเล็กๆ ก็จะกลายเป็น ปัญหาใหญ่ แบบดินพอกหางหมูได้
โดยจุดเริ่มต้นของแอร์เสีย นั่นก็คือ เหตุผลว่าเพราะเหตุใด เราถึงต้องล้างแอร์ นั่นก็คือเรา จะเสียเงิน ค่าบำรุงรักษาแอร์ น้อยกว่าการเสียเงินเพื่อซ่อมแซม แอร์บ้าน นั่นเองบ้านเรือนทั่วไปที่มี เครื่องปรับอากาศ ควรจะบำรุงรักษา ซึ่งการล้างแอร์เต็มระบบเป็นประจำอย่างน้อย ปีละ 1-2 ครั้ง หรือ ปีละ 3-4 ครั้ง สำหรับบ้านเรือนที่อยู่ติดถนน หรือ อาคาร สำนักงานที่มีการใช้เครื่องปรับอากาศ เต็มที่เป็นเวลานานๆ
ขั้นตอนการล้างแอร์ด้วยตัวเอง พื้นฐาน เบสิกๆ มีดังต่อไปนี้
1.ก่อนอื่นปิดเบรกเกอร์ซะเพื่อที่จะตัดไฟฟ้าในวงจนออก กันไฟดูด
2.ถอดแผ่น ฟิลเตอร์ ที่อยู่ข้างในตัวแอร์ออกมา เอาน้ำสะอาดล้างเบาๆ ถ้าผึ่งแดดได้จะดีมาก
3.ถอดหน้ากากแอร์ออกมา ถึงขั้นนี้คุณน่าจะเห็นแผงคอยล์เย็นที่อยู่ด้านในแล้วนะครับ
4.เอาขันน้ำมา 1 ใบ ใส่น้ำสักครึ่งขันเติมแฟ้บหรือน้ำยาล้างจานเติมลงไปเล็กน้อย
5.เอาแปรงสีฟันที่หมดสภาพการใช้งานมาแล้ว 1 อันเอาไฟแช๊กลนที่บริเวณด้ามจับค่อนๆ ไปทางหัวแปรง(อย่าให้โดนขนแปรง)แล้วดัดให้งอพอเหมาะ
6.ขึ้นไปยืนหน้าคอยล์เย็น จัดท่าทางให้เราทำความสะอาดได้อย่างถนัดถนี่
7.เอาแปรงสีฟันโค้งงอนั้นจุ่มลงในขันแล้วแปรงที่คอยล์เย็น วิธีแปรงคือแปรงลงตรงๆ จากบนลงล่าง ไม่ควรแปรงขึ้นลงให้แปรงลงสถานเดียว ห้ามเด็ดขาดคืออย่างแปรงไปมาซ้ายขวาซ้ายขวาเหมือนแปรงฟันเพราะครีบ(FIN) คอล์ยเย็นจะพับลงทำให้ลมไม่ออก ควรใจเย็นๆ ในการแปรง คราบดำๆ จะออกมาเป็นแถวๆ
8.ระวังส่วนที่เป็นครีบ(FIN) เพราะอาจจะทำให้บาดหลังมือหรือนิ้วได้
9.ในส่วนใบพัดลมกรงกระรอกจะอยู่ลึกค่อนๆ ไปทางด้านหลังคอยล์เย็น ซึ่งส่วนใหญ่จะล้วงๆ ควักๆ กันไม่ได้ ต้องรื้อถาดรองน้ำหยดจากคอยล์เย็นออกมา ขั้นตอนนี้ใจเย็นๆ โดยเวลาถอดจำไว้ด้วยถอดอะไรก่อนหลัง เดี๋ยวไม่งั้นตอนใส่ ทำไมมีน๊อตมันเหลือ
10.ถ้าคุณถอดถาดรองน้ำออกมาได้แล้ว เอาแท่งก้านสำลี จุ่มน้ำหรือแช่ให้ชุ่ม แหย่เข้าไปในซี่พัดลมกรงกระรอกปาดไปซ้ายปาดไปทางขวาหลายๆ ครั้งแล้วลองดึงออกมาดู จนครบทุกซี่เพราะพัดลมกรงกระรอกมีร้อยกว่าใบ
11.แต่ถ้าแอร์คุณตันมากๆ ก็ต้องใช้น้ำแรงดันสูงฉีดเข้าไป แต่การล้างด้วยปั๊มนี้ต้องวางแผนกันเยอะหน่อย ต้องมีผ้าพลาสติกรองน้ำที่ไหลออกมาขณะล้าง จะได้ไม่เกิดการเลอะเทอะบริเวณกว้าง รวมทั้ง ต้องมีถังใส่น้ำที่ล้างออกมา ต้องเอาถุงพลาสติกไปหุ้มชุดคอนโทรล
ผลจากการดูแล เครื่องปรับอากาศ สม่ำเสมอ
* ประหยัดค่าไฟฟ้า
* ยืดอายุการใช้งานของ เครื่องปรับอากาศ ได้นานๆ
* ลดปริมาณเชื้อโรคในอากาศและการสะสมในฝุ่นละออง
* เครื่ืองปรับอากาศทำความเย็นได้เร็วขึ้น
* ลดปริมาณกลิ่นอับชื้นใน เครื่องปรับอากาศ
* ลดต้นทุนในการใช้จ่ายในเรื่องค่าซ่อมเครื่องปรับอากาศ
* ช่วยลดภาวะโลกร้อนอันเนื่องจาก ลดการใช้พลังงานแอร์สะอาด
หากต้องอ่านสาระน่ารู้อื่นๆ คลิกดูได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle
โดยจุดเริ่มต้นของแอร์เสีย นั่นก็คือ เหตุผลว่าเพราะเหตุใด เราถึงต้องล้างแอร์ นั่นก็คือเรา จะเสียเงิน ค่าบำรุงรักษาแอร์ น้อยกว่าการเสียเงินเพื่อซ่อมแซม แอร์บ้าน นั่นเองบ้านเรือนทั่วไปที่มี เครื่องปรับอากาศ ควรจะบำรุงรักษา ซึ่งการล้างแอร์เต็มระบบเป็นประจำอย่างน้อย ปีละ 1-2 ครั้ง หรือ ปีละ 3-4 ครั้ง สำหรับบ้านเรือนที่อยู่ติดถนน หรือ อาคาร สำนักงานที่มีการใช้เครื่องปรับอากาศ เต็มที่เป็นเวลานานๆ
ขั้นตอนการล้างแอร์ด้วยตัวเอง พื้นฐาน เบสิกๆ มีดังต่อไปนี้
1.ก่อนอื่นปิดเบรกเกอร์ซะเพื่อที่จะตัดไฟฟ้าในวงจนออก กันไฟดูด
2.ถอดแผ่น ฟิลเตอร์ ที่อยู่ข้างในตัวแอร์ออกมา เอาน้ำสะอาดล้างเบาๆ ถ้าผึ่งแดดได้จะดีมาก
3.ถอดหน้ากากแอร์ออกมา ถึงขั้นนี้คุณน่าจะเห็นแผงคอยล์เย็นที่อยู่ด้านในแล้วนะครับ
4.เอาขันน้ำมา 1 ใบ ใส่น้ำสักครึ่งขันเติมแฟ้บหรือน้ำยาล้างจานเติมลงไปเล็กน้อย
5.เอาแปรงสีฟันที่หมดสภาพการใช้งานมาแล้ว 1 อันเอาไฟแช๊กลนที่บริเวณด้ามจับค่อนๆ ไปทางหัวแปรง(อย่าให้โดนขนแปรง)แล้วดัดให้งอพอเหมาะ
6.ขึ้นไปยืนหน้าคอยล์เย็น จัดท่าทางให้เราทำความสะอาดได้อย่างถนัดถนี่
7.เอาแปรงสีฟันโค้งงอนั้นจุ่มลงในขันแล้วแปรงที่คอยล์เย็น วิธีแปรงคือแปรงลงตรงๆ จากบนลงล่าง ไม่ควรแปรงขึ้นลงให้แปรงลงสถานเดียว ห้ามเด็ดขาดคืออย่างแปรงไปมาซ้ายขวาซ้ายขวาเหมือนแปรงฟันเพราะครีบ(FIN) คอล์ยเย็นจะพับลงทำให้ลมไม่ออก ควรใจเย็นๆ ในการแปรง คราบดำๆ จะออกมาเป็นแถวๆ
8.ระวังส่วนที่เป็นครีบ(FIN) เพราะอาจจะทำให้บาดหลังมือหรือนิ้วได้
9.ในส่วนใบพัดลมกรงกระรอกจะอยู่ลึกค่อนๆ ไปทางด้านหลังคอยล์เย็น ซึ่งส่วนใหญ่จะล้วงๆ ควักๆ กันไม่ได้ ต้องรื้อถาดรองน้ำหยดจากคอยล์เย็นออกมา ขั้นตอนนี้ใจเย็นๆ โดยเวลาถอดจำไว้ด้วยถอดอะไรก่อนหลัง เดี๋ยวไม่งั้นตอนใส่ ทำไมมีน๊อตมันเหลือ
10.ถ้าคุณถอดถาดรองน้ำออกมาได้แล้ว เอาแท่งก้านสำลี จุ่มน้ำหรือแช่ให้ชุ่ม แหย่เข้าไปในซี่พัดลมกรงกระรอกปาดไปซ้ายปาดไปทางขวาหลายๆ ครั้งแล้วลองดึงออกมาดู จนครบทุกซี่เพราะพัดลมกรงกระรอกมีร้อยกว่าใบ
11.แต่ถ้าแอร์คุณตันมากๆ ก็ต้องใช้น้ำแรงดันสูงฉีดเข้าไป แต่การล้างด้วยปั๊มนี้ต้องวางแผนกันเยอะหน่อย ต้องมีผ้าพลาสติกรองน้ำที่ไหลออกมาขณะล้าง จะได้ไม่เกิดการเลอะเทอะบริเวณกว้าง รวมทั้ง ต้องมีถังใส่น้ำที่ล้างออกมา ต้องเอาถุงพลาสติกไปหุ้มชุดคอนโทรล
ผลจากการดูแล เครื่องปรับอากาศ สม่ำเสมอ
* ประหยัดค่าไฟฟ้า
* ยืดอายุการใช้งานของ เครื่องปรับอากาศ ได้นานๆ
* ลดปริมาณเชื้อโรคในอากาศและการสะสมในฝุ่นละออง
* เครื่ืองปรับอากาศทำความเย็นได้เร็วขึ้น
* ลดปริมาณกลิ่นอับชื้นใน เครื่องปรับอากาศ
* ลดต้นทุนในการใช้จ่ายในเรื่องค่าซ่อมเครื่องปรับอากาศ
* ช่วยลดภาวะโลกร้อนอันเนื่องจาก ลดการใช้พลังงานแอร์สะอาด
หากต้องอ่านสาระน่ารู้อื่นๆ คลิกดูได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle
วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ขยะอิเล็กทรอนิกส์ เวทีที่ไทยยังอ่อนซ้อม
คำว่า "อ่อนซ้อม" ความหมายก็น่าจะพอทราบอยู่แล้ว ว่า จะเป็นพวกขาดความต่อเนื่องไม่สม่ำเสมอ เมื่อไปแข่งขันจริงมักจะแพ้เขากระจุยกระจาย
แล้วคำๆ นี้มาเกี่ยวอย่างไรกับประเทศไทย ก็บอกได้เลยว่า มี นั่นคือเรื่องการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศในนาทีนี้ ซึ่งยังอ่อนซ้อมมากๆ หากเมื่อไปเปรียบเทียบกับประเทศมหาอำนาจ อย่าง ญี่ปุ่น หรือ กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป เพราะผลที่ตามมา หากประเทศไทยไม่สามารถเอาชนะ"วิกฤติมลภาวะจากขยะอิเล็กทรอนิกส์" จะไม่ใช่การเสียใจหรือเสียดายเพียงชั่วข้ามคืนเหมือนการแข่งขันกีฬาธรรมดา แต่ลูกหลานไทยในอนาคตอาจต้องทนรับกรรมต่อไปอีกนาน จากมลพิษเหล่านี้
สาเหตุสำคัญที่อ่อนซ้อมของเรื่องพวกนี้ก็คือ กฏหมายไทยถูกดองเค็ม เนื่องด้วย ประเทศไทยนั้นเพิ่งผ่านการขอเสนอญัตติให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาปัญหามลพิษจากขยะและของเสียอันตรายช่วงปี 2550 แผนร่างกฎหมายที่จะใช้ควบคุมประเด็นปัญหาของขยะอิเล็กทรอนิกส์ของไทยนี้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้ทำการร่างแผนยุทธศาสตร์การจัดการของเสียและขยะอิเล็กทรอนิกส์และนำส่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา ตามข้อมูลล่าสุดชี้ว่าการประกาศบังคับใช้จะเริ่มต้นในปี 2014 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า
ยิ่งมีความเสี่ยงเหลือเกินว่ากำหนดการ 4 ปีนั้นจะ"ล่าช้า"จนเต่าเรียกพี่ เพราะล่าสุด ประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างเวียดนามประกาศกำหนดการบังคับใช้พรบ.ขยะอิเล็กทรอนิกส์ในปีหน้านี้แล้ว ทำให้บริษัทไอทีส่งสัญญาณขานรับอย่างคึกคัก
ยิ่งไทยดองเค็มเรื่อง พรบ.กฏหมาย หรือบังคับใช้กฏหมายล่าช้าเท่าใด ความตื่นตัวและกระบวนการที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมที่จะเริ่มต้นช้าลงเท่านั้น ประเทศไทยก็จะสูญเสียประโยชน์อย่างปฏิเสธไม่ได้
โดยทางออกของการสางปมอ่อนซ้อมนี้ คือการผลักดันกฏหมาย พรบ.ขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าลืมว่ากฏหมายไม่ใช่ไข่เค็มที่ต้องดองจนได้ที่ แต่เรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นเหมือนของสดที่ยิ่งเก็บค้างไว้นานเท่าใด ความสูญเสียก็จะเกิดขึ้นมากน้อยตามระยะเวลาช้าเร็วเท่านั้น และ ผลกระทบก็ตกไปอยู่กับลูกหลานในอนาคตไปอีกไม่รู้เมื่อไหร่จะจบสิ้น
หากต้องอ่านสาระน่ารู้อื่นๆ คลิกดูได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle
แล้วคำๆ นี้มาเกี่ยวอย่างไรกับประเทศไทย ก็บอกได้เลยว่า มี นั่นคือเรื่องการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศในนาทีนี้ ซึ่งยังอ่อนซ้อมมากๆ หากเมื่อไปเปรียบเทียบกับประเทศมหาอำนาจ อย่าง ญี่ปุ่น หรือ กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป เพราะผลที่ตามมา หากประเทศไทยไม่สามารถเอาชนะ"วิกฤติมลภาวะจากขยะอิเล็กทรอนิกส์" จะไม่ใช่การเสียใจหรือเสียดายเพียงชั่วข้ามคืนเหมือนการแข่งขันกีฬาธรรมดา แต่ลูกหลานไทยในอนาคตอาจต้องทนรับกรรมต่อไปอีกนาน จากมลพิษเหล่านี้
สาเหตุสำคัญที่อ่อนซ้อมของเรื่องพวกนี้ก็คือ กฏหมายไทยถูกดองเค็ม เนื่องด้วย ประเทศไทยนั้นเพิ่งผ่านการขอเสนอญัตติให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาปัญหามลพิษจากขยะและของเสียอันตรายช่วงปี 2550 แผนร่างกฎหมายที่จะใช้ควบคุมประเด็นปัญหาของขยะอิเล็กทรอนิกส์ของไทยนี้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้ทำการร่างแผนยุทธศาสตร์การจัดการของเสียและขยะอิเล็กทรอนิกส์และนำส่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา ตามข้อมูลล่าสุดชี้ว่าการประกาศบังคับใช้จะเริ่มต้นในปี 2014 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า
ยิ่งมีความเสี่ยงเหลือเกินว่ากำหนดการ 4 ปีนั้นจะ"ล่าช้า"จนเต่าเรียกพี่ เพราะล่าสุด ประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างเวียดนามประกาศกำหนดการบังคับใช้พรบ.ขยะอิเล็กทรอนิกส์ในปีหน้านี้แล้ว ทำให้บริษัทไอทีส่งสัญญาณขานรับอย่างคึกคัก
ยิ่งไทยดองเค็มเรื่อง พรบ.กฏหมาย หรือบังคับใช้กฏหมายล่าช้าเท่าใด ความตื่นตัวและกระบวนการที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมที่จะเริ่มต้นช้าลงเท่านั้น ประเทศไทยก็จะสูญเสียประโยชน์อย่างปฏิเสธไม่ได้
โดยทางออกของการสางปมอ่อนซ้อมนี้ คือการผลักดันกฏหมาย พรบ.ขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าลืมว่ากฏหมายไม่ใช่ไข่เค็มที่ต้องดองจนได้ที่ แต่เรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นเหมือนของสดที่ยิ่งเก็บค้างไว้นานเท่าใด ความสูญเสียก็จะเกิดขึ้นมากน้อยตามระยะเวลาช้าเร็วเท่านั้น และ ผลกระทบก็ตกไปอยู่กับลูกหลานในอนาคตไปอีกไม่รู้เมื่อไหร่จะจบสิ้น
หากต้องอ่านสาระน่ารู้อื่นๆ คลิกดูได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle
การทิ้งคอมพิวเตอร์เก่าอย่างไร ให้ปลอดภัย
การทิ้งคอมพิวเตอร์เก่าอย่างปลอดภัย
คุณเคยคิดและสงสัยหรือไม่ ว่าจะทำอย่างไรกับคอมพิวเตอร์ เครื่องเก่าของคุณดี อาจมีหลายอย่างให้ต้องพิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากการทิ้งอุปกรณ์อย่างถูกต้องและปลอดภัยอาจไม่ง่าย เหมือนกับการทิ้งลงถังขยะ ทั่วไปๆ ซึ่งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับผู้เป็นเจ้าของ ส่วนประกอบสำหรับคอมพิวเตอร์ในครัวเรือนบางส่วนอาจไม่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม คู่มือชุดนี้นำเสนอตัวเลือกต่าง ๆ ในการทิ้งคอมพิวเตอร์เก่า เพื่อให้คุณสามารถใช้คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ได้อย่างสบายใจ
สิ่งที่ต้องพิจารณา:
* การโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญเมื่อต้องตัดสินใจทิ้ง คอมพิวเตอร์ ยกเว้นในกรณีที่่คุณมีการกำหนดมาตรการป้องกันอย่างรัดกุมโดยไม่ทิ้งข้อมูล ส่วนตัวใด ๆ ค้างไว้บนฮาร์ดไดร์ฟ มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์บางตัวซึ่งอยู่ในข่ายมาตรฐานการลบข้อมูลของกระทรวง กลาโหม โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดด้านความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์เพิ่มเติมได้จาก National Institute of Standards and Technology จากคำแนะนำในการล้างข้อมูล
* หลายคนเพียงแค่ลบข้อมูลจากฮาร์ดไดร์ฟของคอมพิวเตอร์เครื่องเดิมก่อนทิ้ง เครื่อง อย่าคิดว่าข้อมูลถูกลบอย่างสมบูรณ์แล้วยกเว้นหากคุณใช้ซอฟต์แวร์ลบข้อมูล หรือทำการถอดไดร์ฟออก
* คอมพิวเตอร์มีส่วนประกอบที่เป็นอันตรายมากมาย จึงไม่ควรทิ้งคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าลงในถังขยะ นิตยสาร National Geographic Magazine ได้นำเสนอภาพส่วน ประกอบต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมไว้ในคู่มือลงรหัสสีระบุส่วนประกอบที่เป็น พิษเจ็ดอย่าง บริษัทกำจัดขยะหลายแห่งห้ามไม่ให้มีการทิ้งคอมพิวเตอร์เก่าให้กับเจ้า หน้าที่เก็บขยะทั่วไป ซึ่งอาจมีกำหนดมาตรการไว้เป็นการเฉพาะ นี่เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเมื่อจะ ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด
* อย่าทิ้งคอมพิวเตอร์เก่า โดยมองข้ามส่วนประกอบที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ แม้คุณจะต้องการอัพเกรดเครื่อง แต่เมาส์ แป้นพิมพ์ จอภาพและฮาร์ดแวร์อีกหลายตัวอาจยังสามารถใช้งานกับเครื่องใหม่ของคุณได้ ไม่เพียงแต่แนวทางนี้จะช่วยคุณประหยัดค่าใช้จ่ายเมื่อต้องซื้อคอมพิวเตอร์ เครื่องใหม่ แต่ยังช่วยลดขยะที่ไม่จำเป็น และทำให้สามารถทิ้งคอมพิวเตอร์ได้รวดเร็วและง่ายดายมากยิ่งขึ้นเนื่องจากมี ส่วนประกอบที่ต้องนำออกน้อยลง
วิธีการที่เหมาะสมในการทิ้งคอมพิวเตอร์เครื่องเก่า:
* เลือกบริจาคคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าให้กับโรงเรียนในท้องถิ่นหรือห้องสมุด ซึ่งอาจต้องการคอมพิวเตอร์เพิ่มเติม นี่ถือเป็นโอกาสในการทำสิ่งดี ๆ ให้กับสังคม อีกทั้งของที่บริจาคยังอาจนำไปหักภาษีได้ หรือคุณสามารถติดต่อกับหน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไร เช่น Computer With Causes ที่รับบริจาคคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก และ ไอแพด สำหรับแจกจ่ายให้กับโครงการด้านการศึกษา ศูนย์ชุมชนและโครงการสำหรับทหารผ่านศึก เป็นต้น
* ศูนย์รีไซเคิลมักมีโปรแกรมเฉพาะสำหรับการทิ้งคอมพิวเตอร์เครื่องเก่า หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ช่องทางนี้ช่วยลดปัญหาขยะคอมพิวเตอร์ที่ถูกฝังกลบ ทำให้ส่วนประกอบที่เป็นพิษได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง
* ธุรกิจขนาดเล็กบางแห่งที่จำหน่าย ซ่อมและให้บริการเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มักมีบริการแลกเปลี่ยนคอมพิวเตอร์เก่า ที่ล้าสมัยหรือยังใช้การได้ โครงการเหล่านี้มักให้เครดิตส่วนลดหรือเงินสดสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของ คุณ การแลกคอมพิวเตอร์เก่าเป็นเงินช่วยให้คุณสามารถจัดซื้อคอมพิวเตอร์เครื่อง ใหม่ในราคาประหยัด และสามารถกำจัดคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าทิ้งไม่ให้เกะกะพื้นที่อีกต่อไป
* หากคุณต้องการมอบคอมพิวเตอร์เก่าให้แก่บุคคลอื่นและต้องการแน่ใจว่า คอมพิวเตอร์ถึงมือผู้ที่ต้องการอย่างแท้จริง ให้ลองปรึกษากับเพื่อนหรือคนในครอบครัวก่อนตัดสินใจบริจาคหรือรีไซเคิล เครื่องของคุณ หรือเข้าไปที่เว็บไซต์โฆษณาฟรี เช่น Freecycle และ Craigslist เพื่อค้นหาบุคคลที่ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างแท้จริง อย่าลืมถอดฮาร์ดไดร์ฟหรือลบข้อมูลส่วนตัวออกก่อนแจกคอมพิวเตอร์ให้กับบุคคลอื่น
หากต้องการอ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม คลิกดูได้ที่http://www.mrtrecycling.co.th/ หรือhttps://www.facebook.com/mrtrecycle
คุณเคยคิดและสงสัยหรือไม่ ว่าจะทำอย่างไรกับคอมพิวเตอร์ เครื่องเก่าของคุณดี อาจมีหลายอย่างให้ต้องพิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากการทิ้งอุปกรณ์อย่างถูกต้องและปลอดภัยอาจไม่ง่าย เหมือนกับการทิ้งลงถังขยะ ทั่วไปๆ ซึ่งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับผู้เป็นเจ้าของ ส่วนประกอบสำหรับคอมพิวเตอร์ในครัวเรือนบางส่วนอาจไม่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม คู่มือชุดนี้นำเสนอตัวเลือกต่าง ๆ ในการทิ้งคอมพิวเตอร์เก่า เพื่อให้คุณสามารถใช้คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ได้อย่างสบายใจ
สิ่งที่ต้องพิจารณา:
* การโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญเมื่อต้องตัดสินใจทิ้ง คอมพิวเตอร์ ยกเว้นในกรณีที่่คุณมีการกำหนดมาตรการป้องกันอย่างรัดกุมโดยไม่ทิ้งข้อมูล ส่วนตัวใด ๆ ค้างไว้บนฮาร์ดไดร์ฟ มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์บางตัวซึ่งอยู่ในข่ายมาตรฐานการลบข้อมูลของกระทรวง กลาโหม โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดด้านความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์เพิ่มเติมได้จาก National Institute of Standards and Technology จากคำแนะนำในการล้างข้อมูล
* หลายคนเพียงแค่ลบข้อมูลจากฮาร์ดไดร์ฟของคอมพิวเตอร์เครื่องเดิมก่อนทิ้ง เครื่อง อย่าคิดว่าข้อมูลถูกลบอย่างสมบูรณ์แล้วยกเว้นหากคุณใช้ซอฟต์แวร์ลบข้อมูล หรือทำการถอดไดร์ฟออก
* คอมพิวเตอร์มีส่วนประกอบที่เป็นอันตรายมากมาย จึงไม่ควรทิ้งคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าลงในถังขยะ นิตยสาร National Geographic Magazine ได้นำเสนอภาพส่วน ประกอบต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมไว้ในคู่มือลงรหัสสีระบุส่วนประกอบที่เป็น พิษเจ็ดอย่าง บริษัทกำจัดขยะหลายแห่งห้ามไม่ให้มีการทิ้งคอมพิวเตอร์เก่าให้กับเจ้า หน้าที่เก็บขยะทั่วไป ซึ่งอาจมีกำหนดมาตรการไว้เป็นการเฉพาะ นี่เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเมื่อจะ ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด
* อย่าทิ้งคอมพิวเตอร์เก่า โดยมองข้ามส่วนประกอบที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ แม้คุณจะต้องการอัพเกรดเครื่อง แต่เมาส์ แป้นพิมพ์ จอภาพและฮาร์ดแวร์อีกหลายตัวอาจยังสามารถใช้งานกับเครื่องใหม่ของคุณได้ ไม่เพียงแต่แนวทางนี้จะช่วยคุณประหยัดค่าใช้จ่ายเมื่อต้องซื้อคอมพิวเตอร์ เครื่องใหม่ แต่ยังช่วยลดขยะที่ไม่จำเป็น และทำให้สามารถทิ้งคอมพิวเตอร์ได้รวดเร็วและง่ายดายมากยิ่งขึ้นเนื่องจากมี ส่วนประกอบที่ต้องนำออกน้อยลง
วิธีการที่เหมาะสมในการทิ้งคอมพิวเตอร์เครื่องเก่า:
* เลือกบริจาคคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าให้กับโรงเรียนในท้องถิ่นหรือห้องสมุด ซึ่งอาจต้องการคอมพิวเตอร์เพิ่มเติม นี่ถือเป็นโอกาสในการทำสิ่งดี ๆ ให้กับสังคม อีกทั้งของที่บริจาคยังอาจนำไปหักภาษีได้ หรือคุณสามารถติดต่อกับหน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไร เช่น Computer With Causes ที่รับบริจาคคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก และ ไอแพด สำหรับแจกจ่ายให้กับโครงการด้านการศึกษา ศูนย์ชุมชนและโครงการสำหรับทหารผ่านศึก เป็นต้น
* ศูนย์รีไซเคิลมักมีโปรแกรมเฉพาะสำหรับการทิ้งคอมพิวเตอร์เครื่องเก่า หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ช่องทางนี้ช่วยลดปัญหาขยะคอมพิวเตอร์ที่ถูกฝังกลบ ทำให้ส่วนประกอบที่เป็นพิษได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง
* ธุรกิจขนาดเล็กบางแห่งที่จำหน่าย ซ่อมและให้บริการเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มักมีบริการแลกเปลี่ยนคอมพิวเตอร์เก่า ที่ล้าสมัยหรือยังใช้การได้ โครงการเหล่านี้มักให้เครดิตส่วนลดหรือเงินสดสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของ คุณ การแลกคอมพิวเตอร์เก่าเป็นเงินช่วยให้คุณสามารถจัดซื้อคอมพิวเตอร์เครื่อง ใหม่ในราคาประหยัด และสามารถกำจัดคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าทิ้งไม่ให้เกะกะพื้นที่อีกต่อไป
* หากคุณต้องการมอบคอมพิวเตอร์เก่าให้แก่บุคคลอื่นและต้องการแน่ใจว่า คอมพิวเตอร์ถึงมือผู้ที่ต้องการอย่างแท้จริง ให้ลองปรึกษากับเพื่อนหรือคนในครอบครัวก่อนตัดสินใจบริจาคหรือรีไซเคิล เครื่องของคุณ หรือเข้าไปที่เว็บไซต์โฆษณาฟรี เช่น Freecycle และ Craigslist เพื่อค้นหาบุคคลที่ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างแท้จริง อย่าลืมถอดฮาร์ดไดร์ฟหรือลบข้อมูลส่วนตัวออกก่อนแจกคอมพิวเตอร์ให้กับบุคคลอื่น
หากต้องการอ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม คลิกดูได้ที่http://www.mrtrecycling.co.th/ หรือhttps://www.facebook.com/mrtrecycle
วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
พลังงานขยะจากอุตสาหกรรม
ปัจจุบันขยะอุตสาหกรรมที่ไม่อันตรายหรือเรียกง่ายๆ ว่า “กากอุตสาหกรรม” จะนำไปฝังกลบอย่างถูกหลักสุขาภิบาล และบางส่วนก็ไม่ถูกหลักสุขาภิบาลเท่าใดนัก วันละหลายพันตัน รวมทั้งขยะอุตสาหกรรมที่ปะปนไปกับขยะชุมชนด้วย
จากข้อมูลที่มีอยู่พอสรุปได้ว่า ขยะอุตสาหกรรมดังกล่าวกว่าร้อยละ 50 สามารถนำไปเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า และบางส่วนก็สามารถนำไปผลิตเป็นน้ำมันสังเคราะห์ เช่น ยางรถยนต์หรือพลาสติกบางประเภท
ขยะอุตสาหกรรม (ซึ่งในที่นี้ขอหมายถึงขยะไม่อันตรายเท่านั้น) จะมีค่าความร้อนระหว่าง 6,000-10,000 กิโลแคลอรี่ต่อกิโลกรัม (Kcal/kg) และมีค่าความชื้นค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับขยะชุมชน
ข้อดีอีกประการหนึ่ง คือ ขยะอุตสาหกรรมได้รับการคัดแยกตั้งแต่ต้นทาง การนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ (RDF : Refuse Derived Fuel) จึงเป็นเรื่องง่าย จากการสุ่มตัวอย่างขยะอุตสาหกรรมที่แยกประเภทแล้ว 25 ตันต่อวัน จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าได้ 1 MW รายได้โดยเฉลี่ยรวมค่า Adder แล้วอยู่ที่เมกกะวัตต์ละ 50 ล้านบาทต่อปี เป็นเวลา 7 ปี ท่านมีขยะเท่าไหร่ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกัน หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมลองเปิดเว็บไซต์ http://www.zerowaste.co.th/
** มาเรียนรู้องค์ประกอบขยะอุตสาหกรรมที่ไม่อันตราย
ถ้าเป็นขยะชุมชนจะมีข้อมูลด้านองค์ประกอบเผยแพร่และตีพิมพ์มากมายหาดูได้ทั่วไป แต่สำหรับขยะอุตสาหกรรมอาจมีความแตกต่างกันมากในองค์ประกอบของขยะ เนื่องจากขึ้นอยู่กับประเภทของโรงงานว่า ผลิตสินค้าอะไร วัตถุดิบขนาดไหน? ดังนั้น จะขอแยกประเภทในภาพรวมเท่าที่จะพอหาได้ ดังนี้
1. ประเภทที่ยังต้องนำไปบำบัดหรือกำจัด เช่น วัตถุดิบที่เสื่อมสภาพ ไม่ว่าจะเป็นพวกแป้งต่าง ๆ ผงกาแฟหมดอายุ เครื่องสำอางค์ ซอสปรุงรส ชีส เนย รวมทั้งกากตะกอนของเหลวต่าง ๆ
2. ประเภทที่สามารถนำไปเป็นเชื้อเพลิงผลิตพลังงาน เช่น เศษผ้า เศษกระดาษ เศษพลาสติก หรือ เศษกระดาษที่เคลือบเป็นเนื้อเดียวกับพลาสติก ไส้กรองชนิดต่าง ๆ วัสดุดูดซับความชื้น ถุงมือยาง เป็นต้น
3. ประเภทนำไปรีไซเคิลได้ เช่น โลหะต่างๆ เศษสายไฟ ชาม กะละมัง หม้อ ที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้น ขยะรีไซเคิลเหล่านี้จะถูกประมูลขายสร้างมูลค่ามากมาย ไม่ก่อปัญหาแต่อย่างใด
ที่มา - http://www.mmthailand.com/mmnew/energy-may.html
หากต้องการอ่านสาระน่ารู้อื่นๆ คลิกดูได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle
จากข้อมูลที่มีอยู่พอสรุปได้ว่า ขยะอุตสาหกรรมดังกล่าวกว่าร้อยละ 50 สามารถนำไปเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า และบางส่วนก็สามารถนำไปผลิตเป็นน้ำมันสังเคราะห์ เช่น ยางรถยนต์หรือพลาสติกบางประเภท
ขยะอุตสาหกรรม (ซึ่งในที่นี้ขอหมายถึงขยะไม่อันตรายเท่านั้น) จะมีค่าความร้อนระหว่าง 6,000-10,000 กิโลแคลอรี่ต่อกิโลกรัม (Kcal/kg) และมีค่าความชื้นค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับขยะชุมชน
ข้อดีอีกประการหนึ่ง คือ ขยะอุตสาหกรรมได้รับการคัดแยกตั้งแต่ต้นทาง การนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ (RDF : Refuse Derived Fuel) จึงเป็นเรื่องง่าย จากการสุ่มตัวอย่างขยะอุตสาหกรรมที่แยกประเภทแล้ว 25 ตันต่อวัน จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าได้ 1 MW รายได้โดยเฉลี่ยรวมค่า Adder แล้วอยู่ที่เมกกะวัตต์ละ 50 ล้านบาทต่อปี เป็นเวลา 7 ปี ท่านมีขยะเท่าไหร่ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกัน หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมลองเปิดเว็บไซต์ http://www.zerowaste.co.th/
** มาเรียนรู้องค์ประกอบขยะอุตสาหกรรมที่ไม่อันตราย
ถ้าเป็นขยะชุมชนจะมีข้อมูลด้านองค์ประกอบเผยแพร่และตีพิมพ์มากมายหาดูได้ทั่วไป แต่สำหรับขยะอุตสาหกรรมอาจมีความแตกต่างกันมากในองค์ประกอบของขยะ เนื่องจากขึ้นอยู่กับประเภทของโรงงานว่า ผลิตสินค้าอะไร วัตถุดิบขนาดไหน? ดังนั้น จะขอแยกประเภทในภาพรวมเท่าที่จะพอหาได้ ดังนี้
1. ประเภทที่ยังต้องนำไปบำบัดหรือกำจัด เช่น วัตถุดิบที่เสื่อมสภาพ ไม่ว่าจะเป็นพวกแป้งต่าง ๆ ผงกาแฟหมดอายุ เครื่องสำอางค์ ซอสปรุงรส ชีส เนย รวมทั้งกากตะกอนของเหลวต่าง ๆ
2. ประเภทที่สามารถนำไปเป็นเชื้อเพลิงผลิตพลังงาน เช่น เศษผ้า เศษกระดาษ เศษพลาสติก หรือ เศษกระดาษที่เคลือบเป็นเนื้อเดียวกับพลาสติก ไส้กรองชนิดต่าง ๆ วัสดุดูดซับความชื้น ถุงมือยาง เป็นต้น
3. ประเภทนำไปรีไซเคิลได้ เช่น โลหะต่างๆ เศษสายไฟ ชาม กะละมัง หม้อ ที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้น ขยะรีไซเคิลเหล่านี้จะถูกประมูลขายสร้างมูลค่ามากมาย ไม่ก่อปัญหาแต่อย่างใด
ที่มา - http://www.mmthailand.com/mmnew/energy-may.html
หากต้องการอ่านสาระน่ารู้อื่นๆ คลิกดูได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)