วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หน่วยความจำ (Memory Unit) กับ ความเจริญทีไม่มีสิ้นสุด


 

ในช่วงปัจจุบันนี้ ความเจริญก้าวหน้าเรื่องไอทีก็ก้าวไปไกลแบบใครๆ อาจจะตามไม่ทันแล้วนั้น ในส่วนของการเก็บข้อมูลก็เช่นเดียวจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยที่ก้าวไปในยุคไอที ครองโลก ซึ่งเราจะมาทำความรู้จักในเรื่องเกี่ยวกับหน่วยเป็บข้อมูล หรือ เมโมรี ยูนิต ว่ามีกี่แบบ และ อันไหน อยู่ประเภาอะไร เพื่อจะได้ทราบว่าวิวัฒนาการการเก็บข้อมูล เริ่มต้นจากอะไรบ้างหน่วยจัดเก็บข้อมูลที่ทำงานได้รวดเร็วที่สุด สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก ซึ่งสามารถจำแนกตามลักษณะการใช้งานได้ 2 ประเภท คือ

1. หน่วยความจำหลัก (Main Memory) หรือเรียกว่า หน่วยความจำภายใน (Internal Memory) สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

* รอม (Read Only Memory - ROM) เป็นหน่วยความจำที่มีโปรแกรมหรือข้อมูลอยู่แล้วสามารถเรียกออกมาใช้งานได้แต่จะไม่สามารถเขียนเพิ่มเติมได้และแม้ว่าจะไม่มีกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงให้แก่ระบบข้อมูลก็ไม่สูญหายไป ซึ่งแบ่งข้อย่อยๆ ในประเภทนี้ได้ดังต่อไปนี้

* แรม (Random Access Memory) เป็นหน่วยความจำที่สามารถเก็บข้อมูลได้เมื่อมีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเท่านั้น เมื่อใดไม่มีกระแสไฟฟ้ามาเลี้ยงข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำชนิดนี้จะหายไปทันที

2. หน่วยความจำรอง (Second Memory) หรือหน่วยความจำภายนอก (External Memory) เป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยสื่อบันทึกข้อมูลและอุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลชนิดต่างๆ ได้แก่

- ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) เป็นฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งโปรแกรมใช้งานต่างๆ ไฟล์เอกสาร รวมทั้งเป็นที่เก็บระบบปฏิบัติการที่เป็นโปรแกรมควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย

- ฟล็อบปี้ดิสก์ (Floppy Disk) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่มีขนาด 3.5 นิ้ว มีลักษณะเป็นแผ่นกลมบางทำจากไมลาร์ (Mylar) สามารถบรรจุข้อมูลได้เพียง 1.44 เมกะไบต์ เท่านั้น ซึ่งในรูปแบบนี้ ได้ยกเลิกใช้ไปแล้ว

- ซีดี (Compact Disk - CD) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลแบบดิจิทัล เป็นสื่อที่มีขนาดความจุสูง เหมาะสำหรับบันทึกข้อมูลแบบมัลติมีเดีย ซีดีรอมทำมาจากแผ่นพลาสติกกลมบางที่เคลือบด้วยสารโพลีคาร์บอเนต (Poly Carbonate) ทำให้ผิวหน้าเป็นมันสะท้อนแสง โดยมีการบันทึกข้อมูลเป็นสายเดียว (Single Track) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 120 มิลลิเมตร ปัจจุบันมีซีดีอยู่หลายประเภท ได้แก่

* ซีดีเพลง (Audio CD)
* วีซีดี (Video CD - VCD)
* ซีดี-อาร์ (CD Recordable - CD-R)
* ซีดี-อาร์ดับบลิว (CD-Rewritable - CD-RW)
* ดีวีดี (Digital Video Disk - DVD)

- รีมูฟเอเบิลไดร์ฟ (Removable Drive) เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีตัวขับเคลื่อน (Drive) สามารถพกพาไปไหนได้โดยต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย Port USB ปัจจุบันความจุของรีมูฟเอเบิลไดร์ฟมีตั้งแต่ 2-32 กิกะไบต์ ทั้งนี้ยังมีไดร์ฟลักษณะเดียวกัน เรียกในชื่ออื่นๆ ได้แก่ Pen Drive , Thump Drive , Flash Drive เป็นต้น

- ซิบไดร์ฟ (Zip Drive) เป็นสื่อบันทึกข้อมูลที่จะมาแทนแผ่นฟล็อปปี้ดิสก์ มีขนาดความจุ 100 เมกะไบต์ ซึ่งการใช้งานซิปไดร์ฟจะต้องใช้งานกับซิปดิสก์ (Zip Disk) ความสามารถในการเก็บข้อมูลของซิปดิสก์จะเก็บข้อมูลได้มากกว่าฟล็อปปี้ดิสก์ ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นมากนัก

- Magnetic optical Disk Drive เป็นสื่อเก็บข้อมูลขนาด 3.5 นิ้ว ซึ่งมีขนาดพอๆ กับฟล็อบปี้ดิสก์ แต่ขนาดความจุมากกว่า เพราะว่า MO Disk drive 1 แผ่นสามารถบันทึกขัอมูลได้ตั้งแต่ 128 เมกะไบต์ จนถึงระดับ 5.2 กิกะไบต์

- เทปแบ็คอัพ (Tape Backup) เป็นอุปกรณ์สำหรับการสำรองข้อมูล ซึ่งเหมาะกับการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่มากๆ ขนาดระดับ 10-100 กิกะไบต์

- แผ่นเมโมรีการ์ด (Memory Card) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่มีขนาดเล็ก พัฒนาขึ้น เพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์เทคโนโลยีแบบต่างๆ เช่น กล้องดิจิทัล คอมพิวเตอร์มือถือ (Personal Data Assistant - PDA) โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น


โดยสรุปแล้ว อีกไม่นาน ตัวเก็บข้อมูลจำพวก ดิสก์ ทั้งหลาย อาจจะไม่มีบทบาทในการใช้งานบ้างแล้ว เนื่องจาก ระบบการเก็บข้อมูล เริ่มมีความกะทัดรัดและเล็กลงไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีการพัฒนามาอีกหรือไม่ ตอนนี้มีทางเดียวที่มีก็คือ เตรียมความพร้อมอยู่เสมอ เพราะ วันพรุ่งนี้ สิ่งที่คุณใช้ในการเก็บข้อมูลมา อาจจจะไม่มีราคาแล้วก็เป็นได้

รายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถดูได้ที่เพจนี้ หรือ ในบล็อกเกอร์ของ เอ็มอาร์ที รีไซคลิง ได้นะครับ คลิกที่ http://mrtrecycle.blogspot.com/หรือเว็บไซต์ของเรา ที่ http://www.mrtrecycling.co.th/ และ เพจบน facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หากละเลยการเอาใจใส่เรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จะเกิดอะไรขึ้น ??


การจัดการที่ไม่เหมาะสมจะก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม กล่าวคือ ในกระบวนการผลิตแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์นั้น จะมีสารอันตรายร่วมอยู่ด้วย หากมีการทิ้งหรือปลดปล่อยขยะอิเล็กทรอนิกส์ออกไปสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก จะก่อให้เกิดการปนเปื้อนของสารพิษในสิ่งแวดล้อม และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ ปัญหาที่เกิดจากการทิ้งโดยไม่ถูกวิธี เช่น การทิ้งในบริเวณรกร้างว่างเปล่า การทิ้งใกล้แหล่งน้ำ และ การเผาทำลาย ล้วนก่อให้เกิดการปลดปล่อยสารพิษที่เป็นองค์ประกอบของขยะอิเล็กทรอนิกส์ออกมาสู่สิ่งแวดล้อมทั้งในน้ำ ดิน และ อากาศ กันทั้งสิ้น

การให้ความรู้ถึงองค์ประกอบของขยะอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับโลหะมีค่าจึงทำให้เกิดการรีไซเคิล แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนการรีไซเคิลและการกำจัดคือ การลงทุนเพื่อสร้างระบบการรีไซเคิลที่สูง จึงเกิดวิธีการแยกโลหะแบบง่ายโดยใช้การเผาแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำลายพลาสติกและแยกโลหะมีค่าออกมา ส่งผลให้มีการปลดปล่อยสารโลหะหนักๆ ที่เป็นอันตรายหลายชนิดออกมา โดยเฉพาะสารตะกั่ว ที่เป็นส่วนประกอบหลักในการบัดกรีแผ่นวงจรพิมพ์ มีฤทธิ์ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ระบบโลหิต การทำงานของไต การสืบพันธุ์ และ มีผลต่อการพัฒนาสมองของเด็ก ต่อมาก็เป็นจำพวกสารหนู ที่ใช้ในแผงวงจร ซึ่งสามารถทำลายระบบประสาท ผิวหนังและระบบการย่อยอาหาร หากได้รับสัมผัสในปริมาณมากอาจทำให้ถึงตายได้ การปลดปล่อยออกมาในรูปของก๊าซพิษนั้น สามารถออกมาในรูปของสารประกอบคลอรีน เมื่อไม่มีระบบการป้องกันอย่างถูกวิธี เช่น การไม่สวมหน้ากาก ไม่มีระบบลดก๊าซพิษ ก็จะทำให้เกิดการรับสัมผัสสารเหล่านี้เข้าไปสะสมในร่างกาย จนมีอาการผิดปกติ และ เกิดโรคมะเร็งได้

ทีนี้รู้หรือยังว่า หากไม่ใส่ใจเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หวังว่าจะกลับมาทบทวนให้ถี่ถ้วนมากขึ้นนะครับ

รายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถดูได้ที่เพจนี้ หรือ ในบล็อกเกอร์ของ เอ็มอาร์ที รีไซคลิง ได้นะครับ คลิกที่ http://mrtrecycle.blogspot.com/หรือ เว็บไซต์ของเรา ที่ http://www.mrtrecycling.co.th/ และ เพจบน facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle

สถานการณ์การรีไซเคิลซากแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย และ ต่างประเทศ


สำหรับกระบวนการรีไซเคิลซากแผ่นวงจรพิมพ์ในประเทศไทยนั้น ใช้กระบวนการแยกชิ้นส่วนด้วยมือให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อน โดยถอดเอาชิ้นส่วนไอซีและพลาสติกต่างๆ ออกไปก่อน จากนั้นนำแผ่นวงจรพิมพ์ไปผ่านกระบวนการทางกลต่างๆ เพื่อแยกเอาทองแดงออกมา โดยกระบวนการทางกลที่ใช้ ได้แก่ การบดย่อยให้มีขนาดเล็กลง การแยกโลหะด้วยโต๊ะสั่นซึ่งอาศัยความแตกต่างของความหนาแน่นระหว่างโลหะและวัสดุที่เป็นแผ่นฐาน (กระดาษชุบฟีนอลิกอัด, อิพอกซีไฟเบอร์กลาส) ซึ่งผลิตภัณฑ์สุดท้ายของการรีไซเคิลด้วยวิธีนี้จะได้โลหะหลักๆ คือ ทองแดง และได้ส่วนของพลาสติกหรือแผ่นฐาน

จากการเปรียบเทียบกระบวนการรีไซเคิลแผ่นวงจรพิมพ์ในประเทศไทยกับต่างประเทศ ด้วยแล้ว จะเห็นว่าในประเทศไทย ยังไม่มีการรีไซเคิลโลหะมีค่าประเภทอื่นๆ นอกเหนือจากทองแดง ในขณะที่ต่างประเทศจะมีการใช้เทคโนโลยีด้านอื่นๆ เพื่อแยกโลหะมีค่าออกมาด้วย โดยเฉพาะทองคำ รวมถึงการทำให้วัสดุที่แยกได้มีความบริสุทธิ์มากขึ้นโดยใช้เทคนิคทางโลหะวิทยา ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการแยกโลหะด้วยความร้อน (pyrometallurgical) และกระบวนการแยกโลหะโดยใช้การละลายทางเคมี (hydrometallurgical) เพื่อขจัดสิ่งเจือปน ซึ่งจะมีปฏิกิริยาเคมีเกี่ยวข้องในขั้นตอนนี้หลายปฏิกิริยา  



ในส่วนของการรีไซเคิลในต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศอังกฤษ จะเห็นว่าแหล่งปฐมภูมิของซากแผ่นวงจรพิมพ์มาจากผู้ผลิตประเภท OEM (original equipment manufacturers) ผู้ผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ ผู้ใช้ปลายทาง (บริษัทหรือบุคคล) และ ผู้ถอดรื้อชิ้นส่วนอุปกรณ์ ซึ่งซากจากแหล่งเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังผู้รีไซเคิลโดยตรง หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรีไซเคิล หรือส่งไปยังผู้รีไซเคิลทางอ้อมโดยผ่านทางผู้รับเหมาในการกำจัด (disposal contractor) ชิ้นส่วนที่ยังมีค่าจะถูกถอดออกเพื่อนำไปขายซ้ำหรือใช้ซ้ำภายในโซ่อุปทานซึ่งมักจะถูกถอดออกด้วยมือ 

ผลจากการถอดชิ้นส่วนด้วยมือออกไปจะทำให้ความคุ้มค่าในการรีไซเคิลลดลงไปด้วย จากนั้นชิ้นส่วนที่เหลือจะถูกส่งต่อไปแยกประเภท คัดเกรด บดย่อย แล้วคัดแยกด้วยแม่เหล็กและกระแสไหลวนเพื่อแยกเหล็กและอะลูมิเนียมออกไป ส่วนที่เป็นโลหะมีค่าในแผ่นวงจรจะถูกส่งต่อไปยังโรงงานถลุงเพื่อรีไซเคิลส่วนประกอบที่เป็นโลหะต่อไป สำหรับโลหะไม่มีค่าทั้งหมดที่อยู่ในซากแผ่นวงจรจะถูกส่งไปยังหลุมฝังกลบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 

รายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถดูได้ที่เพจนี้ หรือ ในบล็อกเกอร์ของ เอ็มอาร์ที รีไซคลิง ได้นะครับ คลิกที่ http://mrtrecycle.blogspot.com/หรือ เว็บไซต์ของเรา ที่ http://www.mrtrecycling.co.th/ และ เพจบน facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle

การแยกเกรดของตัวแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์


โดยทั่วไปแผ่นวงจรพิมพ์ที่ถูกแยกออกจากอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่หมดอายุการใช้งานแล้ว จะถูกนําไปแยกชิ้นส่วนที่มีค่าออกก่อนจะนําไปรีไซเคิลโดยทั่วไปซากแผ่นวงจรพิมพ์จะถูกคัดเกรดออกเป็น 3 ประเภท ตามปริมาณโลหะมีค่าที่อยู่ในชิ้นส่วนนั้น โดยแบ่งเป็น H (เกรดสูง) M (เกรดกลาง) และ L (เกรดต่ํา) เช่นซากที่อยู่ในเกรดต่ําจะมีปริมาณโลหะในกลุ่มแพลทินัม (platinum group metals: PGMs) ที่น้อยมาก แต่อาจจะเปลี่ยนเกรดจากเกรดต่ํามาอยู่ในเกรดกลางได้โดยการเลือกถอดชิ้นส่วนด้วยมือสําหรับส่วนประกอบที่มีเหล็กเฟอร์รัสและอะลูมีเนียมในค่าเปอร์เซ็นต์ที่สูง ซึ่งจะแยกเกรดได้ดังต่อไปนี้ 

1- ซากเกรดต่ํา ประกอบด้วยแผงโทรทัศน์และหน่วยจ่ายไฟ (power supply units) ที่มีหม้อแปลงเฟอร์ไรต์ (ferrite transformer) และส่วนประกอบของแผ่นระบายความร้อน (heat sink) ที่มีอะลูมิเนียมขนาดใหญ่ ทั้งนี้เศษลามิเนต ที่ถูกตัดออกก็จัดว่าเป็นวัสดุเกรดต่ํา เช่นกัน

2- ซากเกรดกลาง ซึ่งจะมาจากอุปกรณ์ที่มีความแม่นยํา (reliability) สูง ที่มีโลหะมีค่าจาก pin และ edge connector และมีวัสดุที่ทําหน้าเก็บประจุ เช่น ตัวเก็บประจุชนิดอะลูมิเนียม ฯลฯ

3- ซากเกรดสูง ประกอบไปด้วย องค์ประกอบที่แยกเป็นชิ้น เช่น วงจรรวมที่มีทองคํา เครื่องออปโตอิเล็กทรอนิกส์ (optoelectronics) แผงวงจรที่มีโลหะมีค่าปริมาณมาก (gold pin board, palladium pin board) และ ชุดระบายความร้อนจากเมนเฟรม เป็นต้น

หากต้องการอ่านเรื่องอื่นๆ ในบล็อกสามารถดูได้ในนี้นะครับ หรือ ในเพจทาง FACEBOOK ของ MRT RECYCLING ได้เลยนะครับผม 

การรีไซเคิลแผ่งวงจร พีซีบี หรือ ซากแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์


แผ่นวงจรพิมพ์ (printed circuit board: PCB) หรือนิยมเรียกว่า แผ่นปรินต์ เป็นแผ่นที่มีลายทองแดงนำไฟฟ้าอยู่ ใช้สำาหรับต่อวางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อประกอบเป็นวงจรแทนการต่อวงจรด้วยสายไฟซึ่งมีความซับซ้อนและยุ่งยาก อีกทั้งยังสามารถจัดวางอุปกรณ์ได้อย่างเป็นระเบียบและลดขนาดพื้นที่ของการจัดเรียงอุปกรณ์ลงได้ ลดความวุ่นวายจากการโยงสายไฟที่ซับซ้อน โดยทั่วไปแผ่นวงจรพิมพ์จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ

1) แผ่นฐานหรือซับสเตรท (substrate) ทำจากฉนวนบางๆ ยึดรวมกันด้วยสารประเภทเทอร์โมเซ็ตติง มีหน้าที่รองรับการเชื่อมต่อตัวอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วยตัวนำไฟฟ้า

2) สารตัวนำ ที่ใช้เชื่อมต่อเป็นลายวงจร ในยุคแรกนั้นใช้หมึกเป็นตัวนำาพิมพ์ลงไปในแผ่นฐานซึ่งเป็นที่มาของคำว่า วงจรพิมพ์ แต่ปัจจุบันนิยมใช้แผ่นทองแดงบางๆ ยึดเข้ากับผิวหน้าของแผ่นฐานด้วยกาว เรียกว่า metal clad laminate ส่วนวัสดุแผ่นฐานที่นิยมใช้กัน ได้แก่ กระดาษชุบฟีนอลิกอัด อิพอกซีไฟเบอร์กลาส เป็นต้น

แผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์มีด้วยกันหลายประเภทได้แก่

1.single-sided boards เป็นชนิดที่มีลายทองแดงหน้าเดียว ประกอบไปด้วยแผ่นฐานและชั้นของแผ่นตัวนำเพียงด้านเดียว นิยมใช้กันทั่วไป ซึ่งจำนวนอุปกรณ์ที่จะวางลงบนแผ่นวงจร จะมีความหนาแน่นของจำนวนไม่มากนัก

2. double-sided boards เป็นชนิดที่มีลายตัวนำทองแดงสองด้าน ได้แก่ ด้านบนและด้านล่าง โดยมีชั้นแผ่นฐานอยู่ตรงกลาง วัสดุที่นิยมนำมาใช้ทำแผ่นฐาน คือ อิพอกซีไฟเบอร์กลาส แผ่นวงจรลักษณะนี้เหมาะสำหรับงานที่มีความหนาแน่นของจำนวนอุปกรณ์ในวงจรมาก หรือเป็นวงจรที่มีความถี่ปานกลางถึงความถี่สูง อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อลายทองแดงด้านบนและล่าง แบบ plat through hole หรือ PTH เพื่อให้เส้นทั้งสองเชื่อมต่อกันได้สั้นลงด้วย

3. multi-layer boards เป็นแผ่นวงจรชนิดหลายชั้น ประกอบไปด้วยชั้นของแผ่นตัวนำาและซับสเตรท (ส่วนมากจะใช้อิพอกซีไฟเบอร์กลาส) มากกว่าสองชั้นขึ้นไป (ประมาณ 3-50 ชั้น) โดยทำการอัดชั้นต่างๆ เข้าหากันด้วยความร้อนและใช้เครื่องอัดแรงดันสูง เหมาะสำหรับงานที่มีความหนาแน่นของจำนวนอุปกรณ์สูงถึงสูงมาก เช่น คอมพิวเตอร์

4. flexible circuit เป็นแผ่นวงจรพิมพ์ชนิดอ่อน ถูกสร้างขึ้นจาก laminating copper foil และ flexible
substrate เช่น Kevlar หรือ Kapton มีตั้งแต่ชนิดแผ่นชั้นเดียวและหลายชั้น มีขนาดบางและน้ำหนักเบา เหมาะใช้กับงานที่แผ่นวงจรพิมพ์ทั่วไปไม่สามารถติดตั้งได้ เพราะถูกกำจัดด้วยพื้นที่ในการติดตั้งหรือการใช้งานจะต้องมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างงานที่ใช้วงจรพิมพ์ชนิดนี้ ได้แก่ กล้องถ่ายรูป เครื่องพิมพ์ ฮาร์ดดิสก์ และ เครื่องบันทึกวีดีโอ ที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เป็นต้น

ส่วนในตอนต่อไปจะพูดถึงการแยกเกรดของตัวแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ คอยติดตามให้ดีละครับ
ส่วนรายละเอียดในเรื่องอื่นๆ สามารถติดตามได้ใน บล็อกนี้ นะครับ

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มุมมองการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ใน ต่างประเทศ ตอนจบ


ในตอนนี้ จะพูดถึงการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ในกลุ่มประเทศที่ว่าจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ในอนาคต ซึ่งจะเบนมาที่ทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่าง ทวีปเอเชีย ซึ่งจะมีประชากรในการใช้งานอิเล็กทรอนิกส์พอสมควร ซึ่งประกอบไปด้วย ประเทศมหาอำนาจทางเทคโนโลยี ทุกคนต้องนึกถึง ญี่ปุ่น อยู่แล้ว รองลงมาก็คือ ชาติที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาของแดนอาทิตย์อุทัย นั่นก็คือ เกาหลีใต้ และ จีน ที่ต้องการเอาชนะ ญี่ปุ่น ในทุกๆ อย่าง มาดูกันว่า ประเทศเหล่านี้ จัดการกับเหล่าขยะอิเล็กทรอนิกส์ กันอย่างไรบ้าง และมีนโยบายไหนที่สอดคล้องกันบ้าง

เริ่มต้นที่ ประเทศจีน มีประกาศใช้ระเบียบการควบคุมมลพิษจากผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเริ่มบังคับใช้เมื่อ 1 มีนาคม ปี 2007 มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมและลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีกระทรวงสารสนเทศอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักและเป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินงานและบัญญัติข้อบังคับต่างๆ เกี่ยวกับการจัดการซากอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่รณรงค์ให้ภาคอุตสาหกรรมระบุเกี่ยวกับการควบคุมสารต้องห้าม และ ช่วงเวลาปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ลงบนสินค้าต่างๆ ซึ่งเป็นข้อบังคับให้มีการติดฉลากแจ้งข้อมูลต่างๆ ของสินค้า ซึ่งมีผลครอบคลุมตั้งแต่การผลิตสินค้าไปจนถึงการจำหน่าย และยังรวมถึงการนำเข้าสินค้าในกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์สู่ตลาดภายในแดนมังกรด้วย แต่ไม่ได้มีผลบังคับกับการผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออกแต่อย่างใด

ประเทศเกาหลีใต้ มีนโยบายในการจัดการของเสียโดยยึดหลักนโยบาย 3R มาตั้งแต่ ปี 1993 โดยประกาศนโยบายการลดของเสียจากบรรจุภัณฑ์และนโยบาย Material and Workmanship Improvement System ซึ่งเกี่ยวกับการปรับปรุงวัสดุของผลิตภัณฑ์ในการผลิตของอุตสาหกรรมรถยนต์และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ และ ในปี 2003 ได้มีนโยบาย Extended Producer Responsibility (EPR) System โดยผู้ผลิตต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์ของตน ซึ่งในปัจจุบันได้มีการครอบคลุมผลิตภัณฑ์แล้ว 17 รายการ และในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2006 ได้ประกาศร่างนโยบายเรื่องการรีไซเคิลทรัพยากรในผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ และได้มีการประกาศใช้เมื่อ 2 เมษายน ปี 2007 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม ปี 2008 เป็นต้นไป

ประเทศญี่ปุ่นมีการจัดการโดยการดำเนินการโดยยึดหลักแนวคิด 3Rs และหลักการ Extended Producer Responsibility (EPR) โดยได้มีการร่างกฎหมายหลักซึ่งเป็นกรอบของกฎหมายสำาหรับการจัดการขยะและการส่งเสริมการนำกลับมาใช้ใหม่คือ “Fundamental Law for Establishing a Sound Material-Cycle Society” เพื่อเป็นการสนับสนุนให้สังคมมีการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ อีกทั้งยังเป็นการลด ในการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติและลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นการกำหนดกรอบโครงสร้างหลัก การจัดลำดับความสำคัญ และ ระบุหน้าที่ความรับผิดชอบของรัฐบาลกลางองค์กรส่วนท้องถิ่น ภาคธุรกิจ และผู้บริโภค และมีความมุ่งหมายให้มีการรีไซเคิลซากผลิตภัณฑ์ และ ยังมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับแนวทางในการจัดการซากอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ คือ แนวปฏิบัติในการจัดการของเสียและการรีไซเคิลซากอุปกรณ์ การติดฉลากรักษ์สิ่งแวดล้อมบนผลิตภัณฑ์ และแนวคิดการออกแบบผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

โดยสรุปแล้ว ประเทศต่างๆ ก็มีนโยบายในการจัดการเรื่องขยะอิเล็กทรอนิกส์กัน แตกต่างกันออก ไป อย่างไรก็ตามทุกประเทศก็มีเป้าหมายเดียวกันก็คือ ทำอย่างไรให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งประเทศสารขันธ์อย่างเราๆ ก็น่าจะมองเค้าแล้ว ย้อนดูตัวเราได้นะครับ 

รายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถดูได้ที่เพจนี้ หรือ ในบล็อกเกอร์ของ เอ็มอาร์ที รีไซคลิง ได้นะครับ คลิกที่ http://mrtrecycle.blogspot.com/หรือ เว็บไซต์ของเรา ที่ http://www.mrtrecycling.co.th/ และ เพจบน facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle

วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มุมมองการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ใน ต่างประเทศ ตอนที่ 1

 


มุมมองการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ใน
ต่างประเทศ ตอนที่ 1

ในตอนนี้จะมาพูดถึงการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ของ ประเทศที่ว่ากันว่า จ้าวแห่งวิศวกรรม อีกทั้งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของยุโรปอันดับต้นๆ อย่าง เยอรมัน และ ประเทศเกิดใหม่ ซึ่งมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ในภูมิภาคยุโรปตะวันออก อย่าง โปแลนด์

ประเทศเยอรมนี ได้รวมเอาระเบียบทั้งสองฉบับ คือ WEEE และระเบียบว่าด้วยการจำกัดการใช้สารที่เป็นอันตรายบางประเภทในผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Restriction of Hazardous Substances: RoHS) ใส่ไว้ในกฎหมายของประเทศ คือ “Act Governing the Sale, Return and Environmentally Sound Disposal of Electrical and Electronic Equipment” หรือ เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ The ElektroG โดยต้องการให้บริษัทที่ขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีหน้าที่รับผิดชอบเรียกคืนซากผลิตภัณฑ์ ทำการรีไซเคิลและกำจัดซากผลิตภัณฑ์ และได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ปี 2005

ประเทศโปแลนด์มีการนำเอาระเบียบ WEEE และ RoHS มาปรับใช้กับกฎหมายของประเทศ โดยระเบียบ RoHS นำมาปรับใช้กับกฎหมายการห้ามใช้สารอันตรายในเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ปี 2004 และ มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 2006 ในส่วนระเบียบ WEEE ได้นำามาปรับใช้กับพระราชบัญญัติการจัดการซากเศษเหลือทิ้งของเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (WEEE Act) และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 20 ตุลาคม ปี 2005 โดยหน่วยงาน Ministry of Environmental Protection (MEP) หรือ กระทรวงการปกป้องและรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ตรวจสอบทั่วไปเพื่อการป้องกันสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานบริหารส่วนกลางก็มีหน้าที่ต้องนำกฎหมายไปใช้ในการประสานงานทั่วไป ตลอดจนการติดตามตรวจสอบการเรียกคืน และ บำบัดเศษซากเหลือทิ้ง

ตอนต่อไปจะเอ่ยถึงการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ของเหล่าประเทศมหาอำนาจแห่งทวีปเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และ จีน ว่า พวกเขาทำอย่างไร และ มีนโยบาย อะไร มารองรับ บ้างครับผม 

รายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถดูได้ที่เพจนี้ หรือ ในบล็อกเกอร์ของ เอ็มอาร์ที รีไซคลิง ได้นะครับ คลิกที่ http://mrtrecycle.blogspot.com/ และ เว็บไซต์ของเรา ที่ http://www.mrtrecycling.co.th/

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การรีไซเคิลแบตเตอรีรถยนต์และรถจักรยานยนต์

ในสถานการณ์ปัจจุบันมีการใช้แบตเตอรี่ก้อนขนาดเล็กมากกว่าก้อนใหญ่ถึง 10 เท่า บนโลกนี้จึง ประกอบไปด้วยโลหะเป็นพิษจากแบตเตอรี่ที่หมดอายุซึ่งถูกสร้างเพิ่มขึ้นและใช้กันอยู่ในแต่ละปี

ขณะที่แบตเตอรี่ที่ใช้กันในภาคอุตสาหกรรมกับแบตเตอรี่รถยนต์เท่านั้นที่ได้มีการรีไซเคิลนําเอาวัสดุกลับมาใช้ใหม่ (วัสดุดังกล่าวคือโลหะตะกั่ว, นิเกิล, แคดเมียม, สังกะสี, เงิน, แมงกานีส, สารละลายอิเล็กโตรไลต์และตัวถังพลาสติก ฯลฯ)

ส่วนแบตเตอรีขนาดเล็กจะถูกทิ้งให้เป็นของเสียที่เป็นอันตรายและไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ มักจะนำไปฝังกลบ ซึ่งอาจจะใกล้แหล่งน้ำ ทำให้สารพิษ จำพวก นิเกิล แคดเมียม หรือ ปรอท ไหลออกจากแบตเตอรี ที่เกิดจากการกระแทกหรือแตกหักของตัวถัง รวมทั้งหากนำไปเผาในเตาเผาขยะตามหน่วยงานระดับเทศบาลต่างๆ ก่อให้เกิดควันและฝุ่นละอองโลหะ ฟุ้งกระจายเป็นวงกว้าง

ในต่างประเทศนั้นได้ มีกฎข้อบังคับในเมืองใหญ่ ว่า ห้ามนำแบตเตอรี่ใช้แล้วไปเผาเข้าเตาเผาขยะชุมชน และ ห้ามนําไปฝังกลบเหมือนขยะทั่วไป แต่จะให้มีการนํามาผ่านกระบวนการรีไซเคิลเสียก่อน หรือ จะกําจัดได้โดยการฝังกลบอย่างปลอดภัยสําหรับของเสียที่มีพิษโดยเฉพาะ ซึ่งในประเทศไทยนั้น การนําแบตเตอรี่ดังกล่าวมารีไซเคิลใหม่ ยังทําได้น้อย เนื่องจากแบตเตอรี่ที่นํามารีไซเคิลจะเป็นแบตเตอรี่จากรถยนต์ เป็นส่วนใหญ่

การรีไซเคิลแบตเตอรี ซึ่งส่วนมากจะเป็นแบตเตอรีรถยนต์ มักจะเป็นชนิดกรด-ตะกั่ว ซึ่งส่วนประกอบสามารถรีไซเคิลได้ถึง 97 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการรีไซเคิลแบตเตอรี่เก่าเข้าสู่กระบวนการผลิตแบตเตอรี่ใหม่ได้เกือบทั้งหมด การรีไซเคิลแบตเตอรี่ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก คือ

1. ทําการแยกหรือทําให้แบตเตอรี่แตกเป็นชิ้น ๆ
2. ชิ้นส่วนแบตเตอรี่จากข้อ 1 ถูกนําไปแยกส่วนที่เป็นพลาสติก (โพลีโพรพีลีน) ออกจากส่วนที่เป็นสารละลายและตะกั่วและโลหะหนักอื่น ๆ แต่ละส่วนจะส่งต่อเข้ากระบวนต่อไป
3. สําหรับชิ้นส่วนที่เป็นพลาสติก จะนําไปล้าง ทําให้แห้ง แล้วส่งต่อไปโรงรีไซเคิลพลาสติกเพื่อหลอมเป็นพลาสติกใหม่
4. แผงตะกั่วจะนําไปหลอมเป็นตะกั่วแท่ง มีการกําจัดสิ่งเจือปนทิ้ง (dross)
5. กรดซัลฟุริก จัดการได้ 2 ลักษณะคือ
1) ทําให้เป็นกลางแล้วทิ้ง หรือ 2) ทําให็เป็นโซเดียมซัลเฟต

หากต้องการอ่านสาระน่ารู้อื่นๆ สามารถคลิกได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle



ขยะอิเล็กทรอนิกส์ มันไม่ใช่ของๆ ใคร แต่มันเป็นปัญหาของทุกคน


"ขยะอิเล็กทรอนิกส์" เป็นขยะที่ไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แบตเตอรี่ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ซึ่งนับวันจะเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ อุปกรณ์เครื่องเสียงบ่อยครั้งกว่าที่เคยเป็น จนขณะนี้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกมีมากถึง 20-50 ล้านตัน ซึ่งหากนำขยะทั้งหมดใส่ตู้คอนเทนเนอร์ขบวนรถไฟ จะกลายเป็นขบวนรถไฟที่ยาวเท่าหนึ่งรอบโลกทีเดียว


โดยในประเทศไทย แหล่งกำเนิดขยะอิเล็กทรอนิกส์ จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1.โรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะพบเป็นเศษจากขยะเหลือทิ้งที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตสินค้า และผลิตภัณฑ์ที่ผ่านสายการผลิตที่ออกมาแล้วไม่ได้เกณฑ์มาตรฐาน
2.บ้านเรือนหรือตามบริษัท ห้างร้านต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นขยะที่เกิดขึ้นจากการใช้งานผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าจนหมดอายุ หรือเครื่องเสียจนไม่สามารถซ่อมให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม

ผลการสำรวจของกรมควบคุมมลพิษพบว่า ในปี 2550 ของเสียอันตรายในชุมชนมีปริมาณทั้งสิ้น 400,716 ตัน แบ่งเป็นของเสียอันตรายทั่วไป 131,871 ตัน และขยะอิเล็กทรอนิกส์ 308,845 ตัน หากเทียบกับปี 2555 ประมาณว่าของเสียอันตรายในชุมชนเกิดขึ้นทั้งสิ้น 513,631 ตัน แบ่งเป็นของเสียอันตรายทั่วไปจากชุมชน 153,917 ตัน และขยะอิเล็กทรอนิกส์ 359,714 ตัน คาดว่าในปี 2559 จะมีของเสียอันตรายในชุมชนเกิดขึ้นทั้งสิ้น 573,463 ตัน แบ่งเป็นของเสียอันตรายทั่วไปจากชุมชน 172,076 ตัน และขยะอิเล็กทรอนิกส์ 401,387 ตัน ซึ่ง
ปริมาณอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงร้อยละ 12 ต่อปี ซึ่งถือว่ามีอัตราการเพิ่มขึ้นในระดับที่ค่อนข้างสูงมาก

อย่างไรก็ตาม จากการที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ออกมาประกาศใช้สัญญาณทีวีดิจิตอล ซึ่งหากประเทศไทยเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีการออกอากาศโทรทัศน์จากระบบอนาล็อกไปสู่ระบบทีวีดิจิตอล จะมีทีวี 20 ล้านเครื่องถูกทิ้ง และกลายเป็นขยะอันตราย ซึ่งความเป็นจริงแล้วการเปลี่ยนถ่ายสู่ระบบดิจิตอลนั้น ประชาชนไม่จำเป็นต้องซื้อโทรทัศน์ใหม่ทั้งหมด เพราะวิธีการรับชมระบบดิจิตอลไม่จำเป็นต้องซื้อทีวีดิจิตอล แต่สามารถใช้ระบบกล่องหรือเสาอากาศ หรือระบบอื่นๆ ที่ต้องมีการพัฒนา ในส่วนกรุงเทพมหานครมีขยะอันตรายที่จัดเก็บถึง 1.40 ตันต่อวัน รวมถึงซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ถึงแม้ปัจจุบันยังไม่มีระบบรองรับการจัดการซากผลิตภัณฑ์เป็นการเฉพาะ แต่กรุงเทพมหานครได้สร้างระบบรองรับการแยกทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์จากบ้านเรือนประชาชน โดยจ้างบริษัทเอกชน คือ บริษัท อัคคีปราการ จำกัด ที่ได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นผู้กำจัดอย่างถูกวิธีเช่นเดียวกับการกำจัดมูลฝอยอันตรายจากชุมชน แต่เนื่องจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ กล้องดิจิตอล แบตเตอรี่กล้องดิจิตอล โน้ตบุ๊ก และแบตเตอรี่ โน๊ตบุ๊ก มีส่วนประกอบที่เป็นทรัพยากรที่มีมูลค่าเช่น โลหะมีค่า สามารถนำไปขายเพื่อแยกสกัดโลหะมีค่านำกลับมาใช้ประโยชน์

ประกอบกับผลการสำรวจข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มครัวเรือนในการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อไม่ใช้งานแล้วของกรมควบคุมมลพิษเมื่อปี 2555 ระบุว่า ผู้บริโภคกลุ่มครัวเรือนจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์โดยการขายร้อยละ 51.27 เก็บไว้ร้อยละ 25.32 ทิ้งรวมกับขยะทั่วไปร้อยละ 15.60 และให้ผู้อื่นร้อยละ 7.84 จึงอาจเป็นสาเหตุให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ไม่เข้าสู่ระบบการจัดการของกรุงเทพมหานครเท่าที่ควร

ดังนั้น กรุงเทพมหานครเพียงหน่วยงานเดียวย่อมไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จ องค์กรภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมบูรณาการทั้งในส่วนนโยบายและในการนำนโยบายไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด ที่สำคัญประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ด้วยการคัดแยกขยะเหล่านี้อย่างถูกต้อง รวมไปถึงการมีจิตสำนึกในการใช้งานเทคโนโลยีอย่างคุ้มค่าที่สุด เพื่อลดภาระและมลพิษจากสิ่งเหล่านี้ อย่างรอบคอบ 

ที่มานสพ.มติชน 25 ก.พ. 2556
หากต้องการอ่านสาระน่ารู้อื่นๆ คลิกได้ที่ 
https://www.facebook.com/mrtrecycle 

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Ultrabook โน้ตบุ๊กประหยัดพลังงานเพื่อสำนักงาน


ในฐานะ ผู้บริหาร ผู้จัดการ หรือ พนักงานที่ต้องเดินทางไปประชุม หรือ ออกไซต์งานนอกอยู่บ่อยๆ โดยทั่วไปคงทราบดีว่าคอมพิวเตอร์แบบพกพาอย่างโน้ตบุ๊ก (Notebook) เป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะมีไว้ใช้ในงานเฉพาะด้านแล้ว เรายังต้องพึ่งพาความสามารถของโน้ตบุ๊กในการทำงานด้านเอกสาร รวมไปถึงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อติดต่อสื่อสารกับโลกออนไลน์ที่นับวันจะมีความสำคัญต่อการทำธุรกิจมากขึ้นทุกที

แม้โน้ตบุ๊กจะให้ความสะดวกสบายในการใช้งาน ทั้งขนาดตัวเครื่องยังพอที่จะพกพาไปไหนต่อไหนได้ แต่สำหรับผู้ใช้งานหลายๆ ท่านแล้วโน้ตบุ๊กก็ยังคงมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากอยู่ดี สำคัญที่สุดก็คือดูเหมือนว่าแบตเตอรี่ที่ทำหน้าที่ประจุพลังงานไฟฟ้าสำหรับป้อนให้กับตัวเครื่องนั้นเริ่มจะไม่เพียงพอต่อการใช้งานจริงเอาเสียแล้ว โน้ตบุ๊กบางตัวเปิดใช้แค่หนึ่งหรือสองชั่วโมงก็ต้องรีบหาที่เสียบปลั๊กกันให้วุ่น ถ้าหาได้ทันก็รอดตัวไป แต่ถ้าหาไม่ทันก็คงต้องพับเก็บกันไปตามระเบียบ

ตอนปลายของยุคโน้ตบุ๊กเฟื่องฟู แท็บเล็ต (Tablet) ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น แน่นอนก็เพื่อมาตอบโจทย์ข้อด้อยของโน้ตบุ๊กทั้งในแง่ของน้ำหนักที่เบากว่า พกพาไปไหนมาไหนง่ายและหยิบออกมาใช้งานก็สะดวก อีกทั้งแท็บเล็ตยังประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้ดีกว่าโน้ตบุ๊กมาก โดยทั่วไปสามารถเปิดใช้งานได้นานกว่า 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว ถูกใจผู้ใช้ทั้งขาเล็กขาใหญ่ไปตามๆ กัน 
แท็บเล็ตได้นำความสะดวกสบายมาให้ผู้ใช้อย่างมาก แถมยังเป็นที่นิยมสุดๆ จนถึงปัจจุบัน ทว่ากับผู้ใช้บางกลุ่มโดยเฉพาะกับผู้ใช้ในบริษัท องค์กรหรือหน่วยงาน แท็บเล็ตเองก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์ได้ครบถ้วนเท่าใดนัก เนื่องจากสเป็คด้านฮาร์ดแวร์ที่ไม่ค่อยสูงมากทำให้แท็บเล็ตใช้งานกับซอฟท์แวร์ที่สำคัญๆ บางตัวได้ค่อนข้างช้า หรืออาจจะใช้งานไม่ได้เลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซอฟต์แวร์พื้นฐานที่ต้องใช้งานในสำนักงานหรืองานเฉพาะด้าน 

อัลตร้าบุ๊ก (Ultrabook) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ของโน้ตบุ๊ก ที่ดึงเอาลักษณะเด่นจากทั้งโน้ตบุ๊กและแท็บเล็ต คือ มีน้ำหนักเบา สเปคฮาร์ดแวร์เทียบเทียบเท่าโน้ตบุ๊ก และบางเกือบเท่าแท็บเล็ต หรือนัยหนึ่งก็คือ อัลตร้าบุ๊กมาแทรกเข้าตรงกลางระหว่างโน้ตบุ๊กกับแท็บเล็ตพอดิบพอดี อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้ บริษัท อินเทล คอร์เปอเรชั่น ประเทศสหรัฐอเมริกา (Intel Corporation)ที่คิดค้นและพัฒนาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการคอมพิวเตอร์พกพา ตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้โน้ตบุ๊กทั่วโลก ด้วยคอนเซ็ปต์ทีว่า “บาง เบา พกพาสะดวก ใช้พลังงานต่ำและประสิทธิภาพดีเยี่ยม”
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์แบรนด์ชั้นนำของโลกหลายเจ้าหันมาผลิตอัลตร้าบุ๊กกันมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อผู้บริโภคในแง่ของราคา เรียกได้ว่าคุ้มค่าในราคาที่เหมาะสม ทั้งนี้ อัลตร้าบุ๊กไม่ได้มีคุณสมบัติเพียงบาง เบา พกพาสะดวก ใช้พลังงานต่ำ และประสิทธิภาพดีเยี่ยมเท่านั้น แต่สำหรับผู้ใช้งานบางกลุ่มที่ชื่นชอบความหรูหราดูมีสไตล์ อัลตร้าบุ๊กก็ยังตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดีและหากผู้บริหารหรือผู้จัดการท่านใดกำลังมองหาโน้ตบุ๊กที่เหมาะสมและโดดเด่นคู่ควรกับตำแหน่งอยู่ละก็ ไม่ควรมองข้าม Ultrabook ด้วยประการทั้งปวง

โดยคุณสมบัติเด่นๆ ของ อุลตร้าบุ๊ก

1. อัลตร้าบุ๊ก มีความบางของตัวเครื่องรวมจอแค่18 มิลลิเมตร สำหรับรุ่นที่มีขนาดจอกว้าง13.3 นิ้ว, ขนาด 21 มิลลิเมตร สำหรับจอ 14 นิ้ว และขนาด 23 มิลลิเมตร สำหรับ Convertible Tablet (อัลตร้าบุ๊กที่หมุนหน้าจอหรือพับเก็บหน้าจอทับไว้บนคีย์บอร์ดได้)
2. อัลตร้าบุ๊ก สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานอย่างน้อย 5 ชั่วโมง เรียกว่าแทบจะไม่จำเป็นต้องพกอแดปเตอร์สำหรับชาร์จติดตัวไปด้วยเลย
3. เปิด-ปิดเครื่องได้รวดเร็วมากๆ  โดยเฉพาะในการเปิดเครื่องจากสภาวะ Sleep Mode ซึ่งใช้เวลาเพียง 1-2 วินาทีเท่านั้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การบูทเข้าสู่โปรแกรมระบบปฏิบัติการสามารถทำได้อย่างรวดเร็วนั้นก็เนื่องมาจากฮาร์ดดิสก์ที่ใช้ในอัลตร้าบุ๊กเป็นแบบ SSD (Solid State Drive) นอกจากนี้ ฮาร์ดดิสก์แบบ SSD ยังมีความเร็วในการจัดเก็บข้อมูลมากกว่าฮาร์ดดิสก์แบบเดิมมาก ทั้งทนทาน ทำงานเงียบ และสร้างความร้อนน้อยกว่า 

หากต้องการรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม คลิกดูได้ที่ 
 https://www.facebook.com/mrtrecycle 

ขั้นตอนการล้างเครื่องปรับอากาศ โดยไม่ต้องง้อช่าง

ในการตรวจเช็คเครื่องปรับอากาศปัจจุบัน มลภาวะทางอากาศเช่น ฝุ่นละออง ควันพิษ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพมหานคร หรือ มหานครใหญ่ๆ ทั่วโลก แน่นอน มลภาวะเหล่านี้ ไม่เป็นผลดีทั้งต่อมนุษย์ และเครื่องใช้ โดยเฉพาะ เครื่องปรับอากาศ ที่ทุกบ้านใช้กันอยู่ หลายๆ สาเหตุของแอร์ เกิดจาก เพียงแค่แอร์สกปรก หรือ แอร์ตัน จากการสะสมของฝุ่นละออง เท่านั้น ซึ่งเป็นเพียงแค่ปัญหาเล็กๆ แต่ถ้าปล่อยไว้นาน ปัญหาเล็กๆ ก็จะกลายเป็น ปัญหาใหญ่ แบบดินพอกหางหมูได้

โดยจุดเริ่มต้นของแอร์เสีย นั่นก็คือ เหตุผลว่าเพราะเหตุใด เราถึงต้องล้างแอร์ นั่นก็คือเรา จะเสียเงิน ค่าบำรุงรักษาแอร์ น้อยกว่าการเสียเงินเพื่อซ่อมแซม แอร์บ้าน นั่นเองบ้านเรือนทั่วไปที่มี เครื่องปรับอากาศ ควรจะบำรุงรักษา ซึ่งการล้างแอร์เต็มระบบเป็นประจำอย่างน้อย ปีละ 1-2 ครั้ง หรือ ปีละ 3-4 ครั้ง สำหรับบ้านเรือนที่อยู่ติดถนน หรือ อาคาร สำนักงานที่มีการใช้เครื่องปรับอากาศ เต็มที่เป็นเวลานานๆ

ขั้นตอนการล้างแอร์ด้วยตัวเอง พื้นฐาน เบสิกๆ มีดังต่อไปนี้

1.ก่อนอื่นปิดเบรกเกอร์ซะเพื่อที่จะตัดไฟฟ้าในวงจนออก กันไฟดูด

2.ถอดแผ่น ฟิลเตอร์ ที่อยู่ข้างในตัวแอร์ออกมา เอาน้ำสะอาดล้างเบาๆ ถ้าผึ่งแดดได้จะดีมาก

3.ถอดหน้ากากแอร์ออกมา ถึงขั้นนี้คุณน่าจะเห็นแผงคอยล์เย็นที่อยู่ด้านในแล้วนะครับ

4.เอาขันน้ำมา 1 ใบ ใส่น้ำสักครึ่งขันเติมแฟ้บหรือน้ำยาล้างจานเติมลงไปเล็กน้อย

5.เอาแปรงสีฟันที่หมดสภาพการใช้งานมาแล้ว 1 อันเอาไฟแช๊กลนที่บริเวณด้ามจับค่อนๆ ไปทางหัวแปรง(อย่าให้โดนขนแปรง)แล้วดัดให้งอพอเหมาะ

6.ขึ้นไปยืนหน้าคอยล์เย็น จัดท่าทางให้เราทำความสะอาดได้อย่างถนัดถนี่

7.เอาแปรงสีฟันโค้งงอนั้นจุ่มลงในขันแล้วแปรงที่คอยล์เย็น วิธีแปรงคือแปรงลงตรงๆ จากบนลงล่าง ไม่ควรแปรงขึ้นลงให้แปรงลงสถานเดียว ห้ามเด็ดขาดคืออย่างแปรงไปมาซ้ายขวาซ้ายขวาเหมือนแปรงฟันเพราะครีบ(FIN) คอล์ยเย็นจะพับลงทำให้ลมไม่ออก ควรใจเย็นๆ ในการแปรง คราบดำๆ จะออกมาเป็นแถวๆ

8.ระวังส่วนที่เป็นครีบ(FIN) เพราะอาจจะทำให้บาดหลังมือหรือนิ้วได้

9.ในส่วนใบพัดลมกรงกระรอกจะอยู่ลึกค่อนๆ ไปทางด้านหลังคอยล์เย็น ซึ่งส่วนใหญ่จะล้วงๆ ควักๆ กันไม่ได้ ต้องรื้อถาดรองน้ำหยดจากคอยล์เย็นออกมา ขั้นตอนนี้ใจเย็นๆ โดยเวลาถอดจำไว้ด้วยถอดอะไรก่อนหลัง เดี๋ยวไม่งั้นตอนใส่ ทำไมมีน๊อตมันเหลือ

10.ถ้าคุณถอดถาดรองน้ำออกมาได้แล้ว เอาแท่งก้านสำลี จุ่มน้ำหรือแช่ให้ชุ่ม แหย่เข้าไปในซี่พัดลมกรงกระรอกปาดไปซ้ายปาดไปทางขวาหลายๆ ครั้งแล้วลองดึงออกมาดู จนครบทุกซี่เพราะพัดลมกรงกระรอกมีร้อยกว่าใบ

11.แต่ถ้าแอร์คุณตันมากๆ ก็ต้องใช้น้ำแรงดันสูงฉีดเข้าไป แต่การล้างด้วยปั๊มนี้ต้องวางแผนกันเยอะหน่อย ต้องมีผ้าพลาสติกรองน้ำที่ไหลออกมาขณะล้าง จะได้ไม่เกิดการเลอะเทอะบริเวณกว้าง รวมทั้ง ต้องมีถังใส่น้ำที่ล้างออกมา ต้องเอาถุงพลาสติกไปหุ้มชุดคอนโทรล

ผลจากการดูแล เครื่องปรับอากาศ สม่ำเสมอ

* ประหยัดค่าไฟฟ้า
* ยืดอายุการใช้งานของ เครื่องปรับอากาศ ได้นานๆ
* ลดปริมาณเชื้อโรคในอากาศและการสะสมในฝุ่นละออง
* เครื่ืองปรับอากาศทำความเย็นได้เร็วขึ้น
* ลดปริมาณกลิ่นอับชื้นใน เครื่องปรับอากาศ
* ลดต้นทุนในการใช้จ่ายในเรื่องค่าซ่อมเครื่องปรับอากาศ
* ช่วยลดภาวะโลกร้อนอันเนื่องจาก ลดการใช้พลังงานแอร์สะอาด

หากต้องอ่านสาระน่ารู้อื่นๆ คลิกดูได้ที่ 
https://www.facebook.com/mrtrecycle

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ขยะอิเล็กทรอนิกส์ เวทีที่ไทยยังอ่อนซ้อม

คำว่า "อ่อนซ้อม" ความหมายก็น่าจะพอทราบอยู่แล้ว ว่า จะเป็นพวกขาดความต่อเนื่องไม่สม่ำเสมอ เมื่อไปแข่งขันจริงมักจะแพ้เขากระจุยกระจาย 

แล้วคำๆ นี้มาเกี่ยวอย่างไรกับประเทศไทย ก็บอกได้เลยว่า มี นั่นคือเรื่องการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศในนาทีนี้ ซึ่งยังอ่อนซ้อมมากๆ หากเมื่อไปเปรียบเทียบกับประเทศมหาอำนาจ อย่าง ญี่ปุ่น หรือ กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป เพราะผลที่ตามมา หากประเทศไทยไม่สามารถเอาชนะ"วิกฤติมลภาวะจากขยะอิเล็กทรอนิกส์" จะไม่ใช่การเสียใจหรือเสียดายเพียงชั่วข้ามคืนเหมือนการแข่งขันกีฬาธรรมดา แต่ลูกหลานไทยในอนาคตอาจต้องทนรับกรรมต่อไปอีกนาน จากมลพิษเหล่านี้ 

สาเหตุสำคัญที่อ่อนซ้อมของเรื่องพวกนี้ก็คือ กฏหมายไทยถูกดองเค็ม เนื่องด้วย ประเทศไทยนั้นเพิ่งผ่านการขอเสนอญัตติให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาปัญหามลพิษจากขยะและของเสียอันตรายช่วงปี 2550 แผนร่างกฎหมายที่จะใช้ควบคุมประเด็นปัญหาของขยะอิเล็กทรอนิกส์ของไทยนี้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้ทำการร่างแผนยุทธศาสตร์การจัดการของเสียและขยะอิเล็กทรอนิกส์และนำส่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา ตามข้อมูลล่าสุดชี้ว่าการประกาศบังคับใช้จะเริ่มต้นในปี 2014 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า

ยิ่งมีความเสี่ยงเหลือเกินว่ากำหนดการ 4 ปีนั้นจะ"ล่าช้า"จนเต่าเรียกพี่ เพราะล่าสุด ประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างเวียดนามประกาศกำหนดการบังคับใช้พรบ.ขยะอิเล็กทรอนิกส์ในปีหน้านี้แล้ว ทำให้บริษัทไอทีส่งสัญญาณขานรับอย่างคึกคัก

ยิ่งไทยดองเค็มเรื่อง พรบ.กฏหมาย หรือบังคับใช้กฏหมายล่าช้าเท่าใด ความตื่นตัวและกระบวนการที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมที่จะเริ่มต้นช้าลงเท่านั้น ประเทศไทยก็จะสูญเสียประโยชน์อย่างปฏิเสธไม่ได้

โดยทางออกของการสางปมอ่อนซ้อมนี้ คือการผลักดันกฏหมาย พรบ.ขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าลืมว่ากฏหมายไม่ใช่ไข่เค็มที่ต้องดองจนได้ที่ แต่เรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นเหมือนของสดที่ยิ่งเก็บค้างไว้นานเท่าใด ความสูญเสียก็จะเกิดขึ้นมากน้อยตามระยะเวลาช้าเร็วเท่านั้น และ ผลกระทบก็ตกไปอยู่กับลูกหลานในอนาคตไปอีกไม่รู้เมื่อไหร่จะจบสิ้น 


หากต้องอ่านสาระน่ารู้อื่นๆ คลิกดูได้ที่ https://www.facebook.com/mrtrecycle

การทิ้งคอมพิวเตอร์เก่าอย่างไร ให้ปลอดภัย

การทิ้งคอมพิวเตอร์เก่าอย่างปลอดภัย

คุณเคยคิดและสงสัยหรือไม่ ว่าจะทำอย่างไรกับคอมพิวเตอร์ เครื่องเก่าของคุณดี อาจมีหลายอย่างให้ต้องพิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากการทิ้งอุปกรณ์อย่างถูกต้องและปลอดภัยอาจไม่ง่าย เหมือนกับการทิ้งลงถังขยะ ทั่วไปๆ ซึ่งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับผู้เป็นเจ้าของ ส่วนประกอบสำหรับคอมพิวเตอร์ในครัวเรือนบางส่วนอาจไม่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม คู่มือชุดนี้นำเสนอตัวเลือกต่าง ๆ ในการทิ้งคอมพิวเตอร์เก่า เพื่อให้คุณสามารถใช้คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ได้อย่างสบายใจ

สิ่งที่ต้องพิจารณา:

* การโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญเมื่อต้องตัดสินใจทิ้ง คอมพิวเตอร์ ยกเว้นในกรณีที่่คุณมีการกำหนดมาตรการป้องกันอย่างรัดกุมโดยไม่ทิ้งข้อมูล ส่วนตัวใด ๆ ค้างไว้บนฮาร์ดไดร์ฟ มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์บางตัวซึ่งอยู่ในข่ายมาตรฐานการลบข้อมูลของกระทรวง กลาโหม โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดด้านความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์เพิ่มเติมได้จาก National Institute of Standards and Technology จากคำแนะนำในการล้างข้อมูล

* หลายคนเพียงแค่ลบข้อมูลจากฮาร์ดไดร์ฟของคอมพิวเตอร์เครื่องเดิมก่อนทิ้ง เครื่อง อย่าคิดว่าข้อมูลถูกลบอย่างสมบูรณ์แล้วยกเว้นหากคุณใช้ซอฟต์แวร์ลบข้อมูล หรือทำการถอดไดร์ฟออก

* คอมพิวเตอร์มีส่วนประกอบที่เป็นอันตรายมากมาย จึงไม่ควรทิ้งคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าลงในถังขยะ นิตยสาร National Geographic Magazine ได้นำเสนอภาพส่วน ประกอบต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมไว้ในคู่มือลงรหัสสีระบุส่วนประกอบที่เป็น พิษเจ็ดอย่าง บริษัทกำจัดขยะหลายแห่งห้ามไม่ให้มีการทิ้งคอมพิวเตอร์เก่าให้กับเจ้า หน้าที่เก็บขยะทั่วไป ซึ่งอาจมีกำหนดมาตรการไว้เป็นการเฉพาะ นี่เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเมื่อจะ ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด

* อย่าทิ้งคอมพิวเตอร์เก่า โดยมองข้ามส่วนประกอบที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ แม้คุณจะต้องการอัพเกรดเครื่อง แต่เมาส์ แป้นพิมพ์ จอภาพและฮาร์ดแวร์อีกหลายตัวอาจยังสามารถใช้งานกับเครื่องใหม่ของคุณได้ ไม่เพียงแต่แนวทางนี้จะช่วยคุณประหยัดค่าใช้จ่ายเมื่อต้องซื้อคอมพิวเตอร์ เครื่องใหม่ แต่ยังช่วยลดขยะที่ไม่จำเป็น และทำให้สามารถทิ้งคอมพิวเตอร์ได้รวดเร็วและง่ายดายมากยิ่งขึ้นเนื่องจากมี ส่วนประกอบที่ต้องนำออกน้อยลง

วิธีการที่เหมาะสมในการทิ้งคอมพิวเตอร์เครื่องเก่า:

* เลือกบริจาคคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าให้กับโรงเรียนในท้องถิ่นหรือห้องสมุด ซึ่งอาจต้องการคอมพิวเตอร์เพิ่มเติม นี่ถือเป็นโอกาสในการทำสิ่งดี ๆ ให้กับสังคม อีกทั้งของที่บริจาคยังอาจนำไปหักภาษีได้ หรือคุณสามารถติดต่อกับหน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไร เช่น Computer With Causes ที่รับบริจาคคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก และ ไอแพด สำหรับแจกจ่ายให้กับโครงการด้านการศึกษา ศูนย์ชุมชนและโครงการสำหรับทหารผ่านศึก เป็นต้น

* ศูนย์รีไซเคิลมักมีโปรแกรมเฉพาะสำหรับการทิ้งคอมพิวเตอร์เครื่องเก่า หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ช่องทางนี้ช่วยลดปัญหาขยะคอมพิวเตอร์ที่ถูกฝังกลบ ทำให้ส่วนประกอบที่เป็นพิษได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง

* ธุรกิจขนาดเล็กบางแห่งที่จำหน่าย ซ่อมและให้บริการเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มักมีบริการแลกเปลี่ยนคอมพิวเตอร์เก่า ที่ล้าสมัยหรือยังใช้การได้ โครงการเหล่านี้มักให้เครดิตส่วนลดหรือเงินสดสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของ คุณ การแลกคอมพิวเตอร์เก่าเป็นเงินช่วยให้คุณสามารถจัดซื้อคอมพิวเตอร์เครื่อง ใหม่ในราคาประหยัด และสามารถกำจัดคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าทิ้งไม่ให้เกะกะพื้นที่อีกต่อไป

* หากคุณต้องการมอบคอมพิวเตอร์เก่าให้แก่บุคคลอื่นและต้องการแน่ใจว่า คอมพิวเตอร์ถึงมือผู้ที่ต้องการอย่างแท้จริง ให้ลองปรึกษากับเพื่อนหรือคนในครอบครัวก่อนตัดสินใจบริจาคหรือรีไซเคิล เครื่องของคุณ หรือเข้าไปที่เว็บไซต์โฆษณาฟรี เช่น Freecycle และ Craigslist เพื่อค้นหาบุคคลที่ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างแท้จริง อย่าลืมถอดฮาร์ดไดร์ฟหรือลบข้อมูลส่วนตัวออกก่อนแจกคอมพิวเตอร์ให้กับบุคคลอื่น



หากต้องการอ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม คลิกดูได้ที่http://www.mrtrecycling.co.th/ หรือhttps://www.facebook.com/mrtrecycle

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พลังงานขยะจากอุตสาหกรรม

ปัจจุบันขยะอุตสาหกรรมที่ไม่อันตรายหรือเรียกง่ายๆ ว่า “กากอุตสาหกรรม” จะนำไปฝังกลบอย่างถูกหลักสุขาภิบาล และบางส่วนก็ไม่ถูกหลักสุขาภิบาลเท่าใดนัก วันละหลายพันตัน รวมทั้งขยะอุตสาหกรรมที่ปะปนไปกับขยะชุมชนด้วย

จากข้อมูลที่มีอยู่พอสรุปได้ว่า ขยะอุตสาหกรรมดังกล่าวกว่าร้อยละ 50 สามารถนำไปเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า และบางส่วนก็สามารถนำไปผลิตเป็นน้ำมันสังเคราะห์ เช่น ยางรถยนต์หรือพลาสติกบางประเภท

ขยะอุตสาหกรรม (ซึ่งในที่นี้ขอหมายถึงขยะไม่อันตรายเท่านั้น) จะมีค่าความร้อนระหว่าง 6,000-10,000 กิโลแคลอรี่ต่อกิโลกรัม (Kcal/kg) และมีค่าความชื้นค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับขยะชุมชน

ข้อดีอีกประการหนึ่ง คือ ขยะอุตสาหกรรมได้รับการคัดแยกตั้งแต่ต้นทาง การนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ (RDF : Refuse Derived Fuel) จึงเป็นเรื่องง่าย จากการสุ่มตัวอย่างขยะอุตสาหกรรมที่แยกประเภทแล้ว 25 ตันต่อวัน จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าได้ 1 MW รายได้โดยเฉลี่ยรวมค่า Adder แล้วอยู่ที่เมกกะวัตต์ละ 50 ล้านบาทต่อปี เป็นเวลา 7 ปี ท่านมีขยะเท่าไหร่ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกัน หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมลองเปิดเว็บไซต์ http://www.zerowaste.co.th/

** มาเรียนรู้องค์ประกอบขยะอุตสาหกรรมที่ไม่อันตราย

ถ้าเป็นขยะชุมชนจะมีข้อมูลด้านองค์ประกอบเผยแพร่และตีพิมพ์มากมายหาดูได้ทั่วไป แต่สำหรับขยะอุตสาหกรรมอาจมีความแตกต่างกันมากในองค์ประกอบของขยะ เนื่องจากขึ้นอยู่กับประเภทของโรงงานว่า ผลิตสินค้าอะไร วัตถุดิบขนาดไหน? ดังนั้น จะขอแยกประเภทในภาพรวมเท่าที่จะพอหาได้ ดังนี้

1. ประเภทที่ยังต้องนำไปบำบัดหรือกำจัด เช่น วัตถุดิบที่เสื่อมสภาพ ไม่ว่าจะเป็นพวกแป้งต่าง ๆ ผงกาแฟหมดอายุ เครื่องสำอางค์ ซอสปรุงรส ชีส เนย รวมทั้งกากตะกอนของเหลวต่าง ๆ

2. ประเภทที่สามารถนำไปเป็นเชื้อเพลิงผลิตพลังงาน เช่น เศษผ้า เศษกระดาษ เศษพลาสติก หรือ เศษกระดาษที่เคลือบเป็นเนื้อเดียวกับพลาสติก ไส้กรองชนิดต่าง ๆ วัสดุดูดซับความชื้น ถุงมือยาง เป็นต้น

3. ประเภทนำไปรีไซเคิลได้ เช่น โลหะต่างๆ เศษสายไฟ ชาม กะละมัง หม้อ ที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้น ขยะรีไซเคิลเหล่านี้จะถูกประมูลขายสร้างมูลค่ามากมาย ไม่ก่อปัญหาแต่อย่างใด

ที่มา - http://www.mmthailand.com/mmnew/energy-may.html
หากต้องการอ่านสาระน่ารู้อื่นๆ คลิกดูได้ที่ 
https://www.facebook.com/mrtrecycle

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ในอินเดีย


การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ในอินเดีย 


ในสถานการณ์ปัจจุบัน ณ เวลานี้ ทุกๆ ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาขยะ E-waste แนวทางการจัดการเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องลดปริมาณขยะ สารพิษ มลพิษ และผลกระทบสิ่งแวดล้อม

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุตสาหกรรมการผลิตที่โตเร็วและใหญ่ที่สุด ในช่วงทศวรรษหลังนี้อุตสาหกรรมนี้ได้ถูกสมมติบทบาทของอำนาจอันมีอิทธิพลสู่สังคมเศรษฐกิจและการเติบโตทางเทคโนโลยี ลำดับของการเติบโตผู้บริโภคอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น และความรุดหน้าทางเทคโนโลยีเป็นความท้าทายทางด้านสิ่งแวดล้อมใหม่

การจัดการขยะ ถือว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่งในประเทศอินเดีย รวมถึงขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะขยะคอมพิวเตอร์ ขยะอิเล็กทรอนิกส์จากประเทศที่พัฒนาแล้วจะสามารถเข้ามาได้ง่ายมากในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยเข้ามาเป็นการค้าเสรี ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากกับการจัดการขยะ โดยบทความนี้จะเน้นไปในเรื่องที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันและกลยุทธ์การความเตรียมพร้อมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการจัดการขยะในดินแดนภารตะ ต่อไปในอนาคต

การกำจัดสิ่งของอิเล็กทรอนิกส์ที่หมดอายุในอินเดียจะเป็นการนำของเก่าไปแลกของซื้อของใหม่ โดยธุรกิจนี้คิดเป็นร้อยละ 78 ของคอมพิวเตอร์ที่ประกอบขึ้นในประเทศ ซึ่งคอมพิวเตอร์ที่หมดอายุหรือไม่ได้ใช้งานจากภาคธุรกิจจะถูกนำมาขายแบบประมูลเลหลัง บางครั้งสถาบันการศึกษาหรือสถาบันที่สามารถนำคอมพิวเตอร์เก่ามาใช้ซ้ำก็จะนำคอมพิวเตอร์เก่าเหล่านี้มาใช้ซ้ำ ซึ่งถูกประเมินค่าได้ว่า จำนวนของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่หมดอายุแล้วมีกระจายอยู่ทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือนประมาณ 1.38 ล้านเครื่อง

ขยะอิเล็กทรอนิกส์สามารถเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมในวงกว้างได้ ขึ้นอยู่กับการใช้วัสดุที่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อมในระบบกระบวนการผลิตสินค้าอิเลคทรอนิกส์ โดยวัสดุที่อันตรายจะมีส่วนประกอบของตะกั่ว สารปรอท เฮกซาวาเลนท์โครเมียม ซึ่งจะกลายเป็นขยะจากหลอดสุญญากาศที่ใช้กับจอภาพคอมพิวเตอร์ แผงเครื่องจักร ตัวเก็บประจุ เครื่องถ่ายทอดปรอท แบตเตอรี่ จอ LCDs ตลับหมึกจากเครื่องถ่ายเอกสาร และวัตถุเหลวที่แยกด้วยไฟฟ้า

นอกจากนี้ ขยะอิเล็กทรอนิกส์จะมีสารปนเปื้อนพวกตะกั่วและแคดเมียมอยู่ในวงจรของการผลิต ซึ่งลีดออกไซด์และแคดเมียมจะอยู่ในจอภาพคอมพิวเตอร์ สารปรอทอยู่ในจอภาพแบบจอแบน แคดเมียมในแบตเตอรี่คอมพิวเตอร์ โพลีคลอริเนตไบฟีนิล (PCBs) ในตัวเก็บประจุและหม้อแปลงที่เก่าแล้ว สารหน่วงในบอร์ดวงจรไฟฟ้าในเคสพลาสติก สายเคเบิล หรือฉนวน PVC ที่มีสารมีพิษเมื่อทำการเผาเพื่อให้ได้ทองแดงจากขดลวด เป็นต้น

วิธีการแก้ปัญหาที่น่าจะดีที่สุด ที่ประเทศอินเดีย ดำเนินการอยู่ นั่นก็คือ แนวคิดขยะเหลือศูนย์ (zero waste management) ซึ่งจะมีหลักการสำคัญ คือ การใช้วัตถุการผลิตที่สามารถนำกลับมาแปรรูปใช้ใหม่ให้มากที่สุด ลดปริมาณของเสียที่จะทิ้งให้เหลือน้อยที่สุด บริโภคให้พอดีและบริโภคสินค้าที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตสินค้าใหม่ที่ผสมผสานการนำวัสดุกลับมาแปรรูปใช้ใหม่ได้ รณรงค์การใช้สินค้าที่ผลิตจากวัสดุเหลือใช้ พัฒนาการนำขยะกลับมาแปรรูปใช้ใหม่ เก็บภาษีรวมในราคาสินค้าที่คิดจากต้นทุนทรัพยากรการผลิต ช่วยยกระดับเป้าหมายทางเศรษฐกิจของชุมชน และ สร้างงานใหม่ๆให้กับชุมชน

โดยสรุปแล้ว การที่จะใช้สินค้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูงนั้น สิ่งสำคัญที่จะต้องตระหนักเลยว่า ใช้ให้คุ้มค่าและสารมารถนำกลับมาใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน

หากต้องการอ่านสาระน่ารู้อื่นๆ สามารถคลิกดูได้ที่ 
https://www.facebook.com/mrtrecycle นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เทคโนโลยีการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์

เทคโนโลยีการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์

เทคโนโลยีในการรีไซเคิล ประกอบด้วยกระบวนการหลักอยู่ 3 กระบวนการ คือ การแยกชิ้นส่วน กระบวนการทางเคมีและกระบวนการสิ่งแวดล้อม รายละเอียดมีดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 

ทําการชั่งน้ำหนัก บันทึกและคัดแยกผลิตภัณฑ์ที่รับ โดยชั่งน้ำหนักเพื่อตรวจสอบลักษณะของขยะอิเล็กทรอนิกส์ และทําการคัดแยกส่วนประกอบที่เป็น พลาสติก โลหะและส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ ออกจากกัน โดยจะทําการคัดแยกพลาสติกและโลหะที่ปนเปื้อนออกจากกันและทําการชั่งน้ำหนักขายในขั้นตอนต่อไป สําหรับ ส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์จะถูกส่งเพื่อทํา
การแยกส่วนประกอบต่อไป

ขั้นตอนที่ 2

ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการคัดแยกจะถูกส่งไปยังระบบคัดแยกส่วนประกอบได้แก่

* กระบวนการแยกชิ้นส่วน: ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่ผ่านการคัดแยกจะถูกเข้าเครื่องบด เพื่อลดขนาดของชิ้นส่วนและแยกชิ้นส่วนที่ต้องการออกมา

* กระบวนการทุบ-บด: ชิ้นส่วนที่ผ่านการลดขนาดจะถูกทุบ-บดให้ มีขนาดเล็ก โดยบดให้เป็นผงจนเป็นเนื้อเดียวกัน

* กระบวนการคัดแยกส่วนประกอบ: ระบบจะทําการคัดแยกส่วนประกอบที่สามารถมองเห็นได้ออกมา หรือ ส่วนประกอบที่เป็นโลหะเหล็ก

* กระบวนการย่อย: ชิ้นส่วนที่ผ่านการบดจะถูกบดย่อยให้เป็นผงอีกครั้ง เพื่อเข้าสู่กระบวนการทางเคมี

กระบวนการคัดแยกทางกายภาพ

ขั้นตอนที่ 3

ชิ้นส่วนที่ผ่านการคัดแยกโดยวิธีการกายภาพซึ่งจะถูกบดให้เป็นผงจะถูกส่งเข้าสู่ระบบการแยกส่วนโลหะมีค่าออก ได้แก่

* การสกัดขั้นตอนแรก: กระบวนการสกัดขั้นตอนแรกจะทําการสกัดโลหะที่มีค่าที่เคลือบผิวออกมาก

* การสกัดขั้นที่สอง: หลังจากโลหะมีค่าที่ถูกสกัดออกจากชิ้นส่วนแล้วขั้นต่อไปจะทําการสกัดโลหะมีค่าที่ปนเปื้อนในสารละลายกรดที่ใช้ในการสกัดโลหะออกมา

* กระบวนการกลั่น: สารละลายที่ใช้ในการสกัดโลหะมีค่าจะถูกนําไปกลั่นให้บริสุทธิ์เพื่อแยกโลหะที่ปนอยู่ออกมาและสารละลายกรดจะถูกนําไปใช้ใหม่ เพื่อแยกโลหะที่ปนอยู่ออกมาและสารละลายกรดจะถูกนําไปใช้ใหม่

กระบวนการคัดแยกทางเคมี

จากกระบวนทั้งหมดของการรีไซเคิลชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จะถูกควบคุมเรื่องมลพิษประกอบด้วยระบบต่างๆ ดังต่อไปนี้

1. ระบบดักจับฝุ่น: ระบบจะทําการดักจับฝุ่นที่ฟุ้งกระจายในโรงงานโดยเครื่องดักจับและนําไปบําบัด ก่อนปล่อยออกสู่ภายนอก

2. ระบบดักจับกรดที่ฟุ้งกระจาย: ระบบจะทําการดักจับกรดที่ฟุ้งกระจายในโรงงานและทําให้บริสุทธิ์เพื่อใช้ในกระบวนการใหม่

3. ระบบบําบัดน้ำเสีย: น้ำเสียที่ถูกปล่อยออกมาจะถูกบําบัดให้ได้คุณภาพมาตรฐานตามที่กฎหมายกําหนด ก่อนปล่อยออกสู่ภายนอกโรงงาน

ที่มา - http://eco-town.dpim.go.th/webdatas/articles/ArticleFile1351.pdf

รายละเอียดสาระน่ารู้อื่นๆ สามารถคลิกดูได้ที่ 
https://www.facebook.com/mrtrecycle


กุ้ยหยู เมืองขยะอิเล็กทรอนิกส์ของโลก

กุ้ยหยู เมืองขยะอิเล็กทรอนิกส์ของโลก 

ใครจะไปทราบว่า เมืองเล็กๆ ณ มณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของประเทศจีน ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่พัฒนาได้รวดเร็วแบบ ก้าวกระโดด ประเทศหนึ่งในโลก กลับเป็นเเหล่งรวมขยะสารพิษจาก สินทรัพย์ไอที ต่างๆ นาๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่างๆ มากมายต่อผู้คนในเมืองโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้

เหตุจากการรับซื้อขยะอิเล็กทรอนิกส์ เข้ามาคัดแยกและทำลายโดยขาดมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมาควบคุม ส่งผลให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นเลือกใช้วิธีมักง่าย โดยฝังกลบ หรือ เผาทำลายแทนการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม

ในแต่ละปี จะมีขยะอิเล็กทรอนิกส์ เช่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ คีย์บอร์ด โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือถูกขนมายังประเทศจีนนับล้าน ๆ ชิ้น เพื่อให้คนงานได้คัดแยกเอาชิ้นส่วนที่เป็นทอง หรือ ทองแดงแยกออกมาขาย จุดหมายปลายทางของขยะไอที เหล่านี้ส่วนมากอยู่ที่เมืองกุ้ยหยู ซึ่งเป็นเมืองทางตอนใต้ของจีน ติดชายฝั่ง และ ไม่ไกลจากเกาะฮ่องกงมากนัก

โดยตัวเลขผู้เจ็บป่วยจากสารพิษ ในเมืองกุ้ยหยู ว่ามีมากถึง 9 ใน 10 ของประชากรทั้งเมือง ซึ่งพบว่าประชากรเป็นโรคผิวหนัง โรคเกี่ยวกับระบบประสาท ระบบทางเดินหายใจ หรือ พิษในเม็ดเลือดและระบบโลหิต ฯลฯ

วิธีแก้ปัญหาของคุณเอง ที่จะไม่ก่อปริมาณขยะ เท่าที่จะทำได้ นั่นก็คือ หากยังมีสภาพที่ไม่ชำรุดมาก ควรนำไปบริจาคให้กับแหล่งที่รับซื้อ หรือ บริจาคให้กับโรงเรียนที่ห่างไกลความเจริญ เพื่อกระจายความรู้ให้เหล่าเด็กทางชนบท เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ต่อไป จะได้ไม่ต้องไปให้พี่น้องเมืองกุ้ยหยู รับสารพิษ อีกนะครับ

หากต้องการอ่านสาระน่ารู้อื่นๆ คลิดได้ที่ 
https://www.facebook.com/mrtrecycle


วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ขยะอิเล็กทรอนิคส์ (E-Waste)

ขยะอิเล็กทรอนิคส์ (E-Waste) 
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.mrtrecycling.co.th/  หรือ https://www.facebook.com/mrtrecycle

ขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-waste เป็นของเสียที่ประกอบด้วย เครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เสียหรือไม่มีคนต้องการแล้ว ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นประเด็นวิตกกังวล เนื่องจากชิ้นส่วนหลายชิ้นในอุปกรณ์เหล่านั้น ถือว่าเป็นพิษ และไม่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้ หลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจของยุโรป อาทิเช่น อังกฤษ, เยอรมัน และ ฝรั่งเศส ถึงกับออกกฎหมายออกมารองรับกรณีดังกล่าวนี้ โดยให้บริษัทผู้ผลิตที่จะวางตลาดในผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ต้องจัดเก็บขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปกำจัดก่อนถึงจะวางใหม่ได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่ถูกนำออกมาใช้เพื่อแก้ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นขยะพิษ ขณะเดียวกันด้วยพฤติกรรมการบริโภคที่มีลักษณะใช้แล้วทิ้งที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบไม่เพียงแค่ในขอบข่ายของขยะอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น บรรจุภัณฑ์อื่นๆ ก็ถูกทิ้งลงถังขยะมากมายจนล้นเกิน ซึ่งพฤติกรรมการใช้แล้วทิ้งที่เกิดขึ้นทั่วโลกนี้ หากยังไม่สามารถพัฒนาวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ง่าย หรือ ประเภทใช้แล้วสามารถนำมารีไซเคิลใหม่ได้ อาจก่อให้เกิดปัญหาขยะล้นโลกได้

นิยามของขยะอิเล็กทรอนิกส์ ตามระเบียบของ เศษเหลือทิ้งของผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Waste Electrical and Electronic Equipment: WEEE) ซึ่งทางสหภาพยุโรปเป็นหน่วยงานที่ได้บัญญัติ ออกมา โดยมีข้อจำกัดความดังต่อไปนี้

• เครื่องใช้ขนาดใหญ่ในบ้าน (เช่น เตาอบ เตาอบไมโครเวฟ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ฯลฯ)
• เครื่องใช้ขนาดเล็กในบ้าน (ที่ปิ้งขนมปัง เครื่องโกนหนวด เครื่องดูดฝุ่น เตารีด ฯลฯ)
• เครื่องมือสื่อสารและเครื่องใช้ในสำนักงาน (คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล, พรินเตอร์, โทรศัพท์, เครื่องถ่ายเอกสาร, แฟกซ์ ฯลฯ)
• เครื่องใช้เพื่อความบันเทิง (โทรทัศน์ วิทยุ เครื่องเสียง เครื่องเล่นซีดี ดีวีดี ฯลฯ)
• อุปกรณ์ให้แสงสว่าง (ส่วนใหญ่เป็นหลอดฟลูออเรนเซนต์)
• อุปกรณ์ไฟฟ้า (สว่างไฟฟ้า, เครื่องตัดหญ้าไฟฟ้า ฯลฯ)
• อุปกรณ์กีฬา และ สันทนาการ (ของเล่นไฟฟ้า เครื่องออกกำลังกาย ฯลฯ)
• เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์
• อุปกรณ์ตรวจสอบ
• ระบบจ่ายอัตโนมัติ (เช่น เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ ฯลฯ )
• เครื่องมือเครื่องใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม
• ของเสียที่เหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต




รีดิวซ์ (Reduce) คืออะไร

รีดิวซ์ (Reduce) คือ การใช้วิธีลดการใช้วัสดุ หรือ ผลิตภัณฑ์เพื่อลดปริมาณขยะที่เกิดขึ้น ซึ่งแบ่งได้ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 

• ปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงสิ่งของหรือบรรจุภัณฑ์ที่จะสร้างปัญหาขยะ (Refuse) 
1. ปฏิเสธการใช้บรรจุภัณฑ์ฟุ่มเฟือย รวมทั้งขยะที่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม อาทิเช่น กล่องโฟม ถุงพลาสติก หรือขยะมีพิษอื่น ๆ
2. หลีกเลี่ยงการเลือกซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้บรรจุภัณฑ์ห่อหุ้มหลายชั้น
3. หลีกเลี่ยงการเลือกซื้อสินค้าชนิดใช้ครั้งเดียว หรือผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานต่ำ
4. ไม่สนับสนุนร้านค้าที่กักเก็บและจำหน่วยสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์ฟุ่มเฟือย และไม่มีระบบเรียกคืนบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว
5. กรณีการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประจำบ้านที่ใช้เป็นประจำ เช่น สบู่ ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน ให้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดบรรจุใหญ่กว่า เนื่องจากใช้บรรจุภัณฑ์น้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับหน่วยน้ำหนักของ ผลิตภัณฑ์
6. ลดหรืองดการบริโภคที่ฟุ่มเฟือย โดยเลือกใช้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความต้องการ

• เลือกใช้สินค้าที่สามารถส่งคืนบรรจุภัณฑ์สู่ผู้ผลิตได้ (Return)
1. เลือกซื้อสินค้าหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีระบบมัดจำ – คืนเงิน เช่น ขวดเครื่องดื่มประเภทต่าง ๆ
2. เลือกซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับไปรีไซเคิลได้ หรือมีส่วนประกอบของวัสดุรีไซเคิล เช่น ถุงช็อปปิ้ง โปสการ์ด
3. เลือกซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ผู้ผลิตเรียกคืนซากบรรจุภัณฑ์ หลังจากการบริโภคของประชาชน


ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.mrtrecycling.co.th/

หรือ https://www.facebook.com/mrtrecycle



ข้อดีของการบริหารสินทรัพย์ IT

ในปัจจุบันการจะจัดหาระบบงานไอทีของหน่วยงานต่าง ๆ มาใช้จะต้องผ่านการวางแผนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งได้มีการพัฒนาไปมากจากเดิมที่ แต่ละหน่วยงานย่อยมีการสร้างแผนงานไอทีของตนขึ้นมาเอง มาเป็นการวางแผนแม่บทด้านไอทีขององค์กร โดยรวมหรือการแผนยุทธศาสตร์ด้านไอทีล่วงหน้าเพื่อความเข้มแข็งขององค์กร มีการสร้างแผนงานที่คำนึงถึงความต้องการของหน่วยงานของตน และ ผลประโยชน์ต่อส่วนรวม ซึ่งทางบริษัท มารีทรานส์ รีไซคลิง ประเทศไทย จำกัด หรือ MRT ให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน

ลำดับแรก ๆ ของกระบวนการพัฒนาระบบสารสนเทศด้านการประมวลผลหรือการนำมาใช้ในการทำงานโดยตรงนั้น เริ่มจากการวิเคราะห์ระบบงาน ซึ่งประกอบไปด้วยขั้นตอนสำคัญคือการศึกษาความคุ้มค่าและความเป็นไปได้ของการจัดทำระบบ เพื่อเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อหน่วยงานองค์กรของตน

ความคุ้มค่าควรสามารถคำนวณมูลค่าอันเกิดจากระบบสารสนเทศโดตรง เช่น การลดต้นทุนการทำงาน การลดเวลาในการทำงาน ทั้งในการให้บริการและการบริหาร การลดความซ้ำซ้อนและการเพิ่มความถูกต้องของข้อมูล หรือการอธิบายได้อย่างชัดเจน เช่น การสร้างบริการและนวัตกรรมใหม่ การสร้างความมั่นคงให้กับระบบงาน รวมทั้งการสร้างประโยชน์โดยอ้อมได้แก่ การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของหน่วยงาน เป็นต้น

ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของโครงการด้านไอทีคือการสร้างความมั่นคง ให้ระบบงานเนื่องจากเป็นระบบอัตโนมัติจึงลดปัญหาด้านการบริหารผู้ปฏิบัติงานหรือการบริหารทักษะในการทำงาน ได้


ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.mrtrecycling.co.th/

หรือ https://www.facebook.com/mrtrecycle?ref=tn_tnmn



รีไซเคิล (Recycle) คืออะไร

รีไซเคิล (Recycle) คือ การแปรรูปของใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ หรือกระบวนการที่เรียกว่า "รีไซเคิล" คือ การนำเอาของเสียนำกลับมาใช้ใหม่ที่อาจเหมือนเดิม หรือ ในวัตถุประสงค์อื่นๆ ตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้ ซึ่งอาจจะนำไปผ่านกระบวนการแปรสภาพต่างๆ เพื่อให้ได้เป็นวัสดุใหม่แล้วนำกลับมาใช้ได้อีก ซึ่งวัสดุที่ผ่านการแปรสภาพนั้นอาจจะเป็นผลิตภัณฑ์เดิมหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ก็ได้ ซึ่งของใช้แล้วจากภาคอุตสาหกรรม จะเป็นจำพวก ไฟเบอร์กล๊าส กระดาษ แก้ว กระจก อะลูมิเนียม และ พลาสติก "การรีไซเคิล" เป็นหนึ่งในวิธีการลดขยะ ลดมลพิษให้กับสภาพแวดล้อม ลดการใช้พลังงานและลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของโลกไม่ให้ถูกนำมาใช้สิ้นเปลืองมากเกินไป

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.mrtrecycling.co.th/index.php?option=com_content&view=section&layout=blog&id=1&Itemid=288

หรือ https://www.facebook.com/mrtrecycle?ref=tn_tnmn